วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

5 เคล็ดลับ... พักสายตาที่เมื่อยล้าจากการอ่านหนังสือ

วัสดีค่ะ  คนไหนที่ชอบอ่านหนังสือ และใช้เวลาอ่านหนังสือ หรือเล่นคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจจะรู้สึกปวดตาอยู่บ่อยๆ จริงมั้ย?? สาเหตุหลักๆ ก็คือใช้สายตามากเกินไป อาจจะเพ่ง เล็ง จ้อง นานแบบไม่คิดจะพักกันเลย ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า ต้องหาวิธีพักสายตาบ้างนะ ไม่งั้นล่ะใส่แว่นหนาเตอะไม่รู้ด้วย              วันนี้ มีวิธีพักสายตาจากการอ่านหนังสือ ซึ่งก็รวมไปถึงคอมพิวเตอร์ มาฝาก จะได้นำเอาไปใช้เป็นการรักษาสายตาของเราให้สดใส สุขภาพดีไปจนแก่เลย

เด็กดีดอทคอม :: 5 เคล็ดลับ... พักสายตาที่เมื่อยล้าจากการอ่านหนังสือ

             เคล็ดลับที่ 1 หลับตาหน่อยน้อง             การหลับตา เป็นวิธีที่แสนเบสิค เวลาสายตาเมื่อยล้าจะมีสัญญาณเตือน คือ ปวดตา แสบตา ลองหลับตาสักพัก ให้กล้ามเนื้อดวงตาได้พักผ่อน ถือเป็นการพักสายตาที่ง่ายแต่ได้ผลดีที่สุด นอกจากนี้มีอีกหนึ่งเคล็ดลับค่ะ ลองหลับสัก 5-10 นาที (เชื่อว่าน้องหลายคนคงหลับไปเลย) หลับแบบนี้เพื่อให้แสงแดด หรือแสงจากธรรมชาติผ่านหนังตา ไม่น่าเชื่อว่าประโยชน์ของแสงแดดที่ผ่านหนังตาจะช่วยให้เกิดการไหลเวียนของ โลหิตรอบดวงตาด้ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตาได้ดีทีเดียว
             เคล็บลับที่ 2 ฝ่ามืออรหันต์             เคล็ดลับที่ฟังดูน่ากลัว แต่ได้ประโยชน์แบบสุดๆ ต้องยกให้มือน้อยๆ คู่นี้ของเรา จะเป็นการใช้ความอุ่นในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา โดยให้น้องๆ เอาฝ่ามือทั้งสองมาถูกันจนรู้สึกอุ่นขึ้น เหมือนที่เราทำกันเวลาหน้าหนาวไงจากนั้นก็หลับตาและเอาขึ้นมาประคบที่ตา ทิ้งไว้สักพัก ทำแบบนี้สัก 2-3 ครั้ง จะรู้สึกได้เลยว่าเราสบายตาขึ้นจนรู้สึกได้

 
เด็กดีดอทคอม :: 5 เคล็ดลับ... พักสายตาที่เมื่อยล้าจากการอ่านหนังสือ

             เคล็บลับที่ 3 สีเขียวอยู่ไหน             เคยได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ว่า สีเขียวเป็นสีที่ดูแล้วสบายตา ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ร่มรื่น ถ้าจะพักสายตาให้ไปมองไกลๆ หรือมองหาพื้นที่สีเขียวเข้าไว้ ถ้าจะให้ดีที่สุด ก็คือ มองต้นไม้ ต้นหญ้า แต่ถ้าอ่านในบ้านก็ให้มองหามุมสีเขียวแบบเขียวต้นไม้ ใบไม้ ไม่ควรเป็นเขียวอ่อนแบบแสบตาหรือเขียวสะท้อนแสง เพราะจะยิ่งแสบตาเข้าไปอีก หรืออีกวิธี ก็คือ ลองหาต้นไม้ปลอมมาวางไว้ที่โต๊ะสร้างบรรยากาศให้ดูกุ๊กกิ๊กน่ารัก น่านั่งอ่านหนังสือก็ได้นะ
             สำหรับเหตุผลในทางศิลปะ และวิทยาศาสตร์นั้นได้บอกว่า สีเขียวเป็นสีโทนเย็นและไม่ดูดแสง ทำให้ไม่สะท้อนเวลาแสงส่องเข้ามา จึงทำให้สายตาได้พักผ่อน นอกจากนี้พลังของสีเขียวยังทำให้ประสาทสายตา และระบบประสาทได้ผ่อนคลาย แถมยังช่วยให้ความดันโลหิตของเราลดลงได้อีกด้วย

            เคล็ดลับที่ 4 กระพริบตาปิ๊งๆ            การจ้องหนังสือหรือคอมพิวเตอร์นานๆ จะเกิดอาการตาแห้ง ผลที่ตามมาก็จะแสบตา การกระพริบตาช่วยได้เยอะเหมือนกัน เพราะทุกครั้งที่กระพริบตาจะทำให้มีน้ำตามาหล่อเลี้ยงหรือเคลือบดวงตาของเรา ให้ชุ่มชื่นนั่นเอง โดยเฉลี่ยแล้วคนเราจะกระพริบตาทุกๆ 2-3 วินาทีค่ะ แต่เวลาอ่านหนังสือเนี่ย ไม่รู้ว่าตั้งใจเกินไปจนลืมกระพริบตารึป่าว ทำให้เราใช้เวลาถึง 5-6 วินาทีในการพริบตาหนึ่งครั้ง น้ำตาจึงระเหยมากกว่าปกติ เป็นสาเหตุให้แสบตานั่นเอง
            ดังนั้น ต้องกระพริบตาบ่อยๆ หรือกระพริบตามปกติก็ได้ค่ะ แต่ใน 1 นาทีต้องให้ได้อย่างน้อย 12 ครั้งนะคะ

           เคล็ดลับที่ 5 ตู้ปลาหรรษา           ไม่ต้องงงว่าตู้ปลาเกี่ยวอะไร ถ้าน้องๆ เมื่อยล้าสายตา ลองหาตู้ปลาเล็กๆ ไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือ เหนื่อยๆ ก็ลองหันไปดูปลาแหวกว่ายตู้ปลาเล็กๆ อันนั้น รับรองว่าจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นแน่ๆ เพราะเวลาเราเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ ในบรรยากาศที่แห้งแล้งขาดสีสัน เราจะเบื่อและรู้สึกอึดอัด ซึ่งถ้าหันไปมองการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างปลา ก็ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อดวงตาได้อีกทางนึง และยังช่วยให้หายเครียดได้ด้วย อ้อ..ปลาที่ว่าก็ขอให้เป็นปลาเล็กๆ สีสันสวยงามนะคะ อย่าให้ถึงกับเอาปลาคราฟ ปลาหมอสีหรือปลาแปลกๆ มาเลี้ยงเลย เกรงว่าจะต้องผงะก่อนอ่านหนังสือจบ

เด็กดีดอทคอม :: 5 เคล็ดลับ... พักสายตาที่เมื่อยล้าจากการอ่านหนังสือ
            เคล็ดลับทั้ง 5 ที่ แนะนำในวันนี้ รับรองว่าถ้าปฏิบัติตาม ดวงตาของน้องๆ จะสดใส เปล่งปลั่งตลอดเวลาแน่นอนค่ะ ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมากๆ เลยนะ แม้ชีวิตจะทุ่มต็มร้อย ตั้งใจอ่านหนังสือขนาดไหน ก็อย่าลืมพักสายตาบ้าง เพื่อถนอมดวงตาของเราไว้ ถ้าจะให้ดีก็ควรพักทุกๆ 20 นาที เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักเกินไป อีกอย่างการรักษาโรคเกี่ยวกับดวงตา ก็ใช้เงินไม่ใช่น้อยๆ เลย มันไม่คุ้มกันหรอกนะคะ ขอให้อ่านหนังสืออย่างมีความสุขน้า ^^

ระวัง!!! ก่อนเข้าห้องสอบ

   สวัสดีจ๊ะ ถึงช่วงฤดูกาลสอบแล้ว  การเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ จะได้เปรียบและมีโอกาสทำคะแนนได้เยอะขึ้นนะคะ ยิ่งถ้าได้เตรียมตัวอ่านหนังสือ จัดตารางการอ่านแต่ละบทเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว จะเยี่ยมมาก แต่!!!

สวัสดีจ้า  
    แต่ก็ขอให้ระวังไว้อีกอย่างค่ะ ก่อนที่จะเข้าสอบ โดยเฉพาะตอนที่อยู่หน้าห้องสอบ เตรียมตัวก้าวขาเข้าไปสอบแล้ว ต้องฉุกคิดถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ด้วย !!! จะได้ทำข้อสอบด้วยความสบายใจ ไปดูกันเลยๆๆ


เด็กดีดอทคอม :: ระวัง!!! ก่อนเข้าห้องสอบ

 
     ระวัง 1 : อุปกรณ์ที่ต้องใช้ ต้องเตรี ยมให้พร้อม และให้พอนะคะ เพราะว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในห้องสอบ ฝนคำตอบหนักมือไป ดินสอหนักคามือ ก็ต้องมีแท่งใหม่ใช้  ลบคำตอบที่ผิดอยู่ แรงแขนมาก เหวี่ยงยางลบออกนอกหน้าต่าง จะปีนไปเก็บก็ไม่ใช่เวลา เพราะฉะนั้นอุปกรณ์ต้องพร้อมนะคะ เครื่องเขียน อุปกรณ์ ยาดม ผ้าเช็ดหน้า ฯลฯ
     ระวัง 2 : ควบคุมอารมณ์ อย่า ลนลาน อย่าตื่นเต้น มาถึงขั้นนี้แล้ว จะก้าวขาเข้าห้องไปสอบแล้ว เลิกกัวงลได้แล้วว่าข้อสอบจะออกยังไง จะทำได้ไหม เพื่อนจะทำได้มากกว่าเราหรือเปล่า  ทำใจให้สบาย มองวิวทิศทัศน์ไกลๆ  ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง เดินเข้าไปทำข้อสอบจะดีกว่าค่ะ
     ระวัง 3 : งดเม้าท์ หลังสอบเสร็จค่อยเอาให้เต็มที่ค่ะ ก่อนจะเข้าสอบขอให้งดไว้ก่อน ทั้งกับเพื่อน โทรศัพท์ แต่เพื่อเป็นการสร้างสมาธิค่ะ เพราะถ้าเรามัวแต่คุย สมาธิเราจะแตกซ่าน ในหัวมีแต่เรื่องที่คุยอยู่ กว่าจะกู่กลับมาได้อาจจะเสียเวลา เพราะฉะนั้น งดได้ก็งดก่อนดีกว่าค่ะ

เด็กดีดอทคอม :: ระวัง!!! ก่อนเข้าห้องสอบ

 
     ระวัง 4 : โพยสูตร-คำตอบ สำคัญมาก ห้ามนำเข้าไปเด็ดขาดนะคะ ถึง แม้ว่าก่อนเข้าไปเราจะถืออ่านไปมา หรือแบ่งคนอื่นอ่านได้ แต่พอถึงเวลาสอบจริง ขอให้เอาไว้นอกห้องสอบเลยนะคะ เพราะถ้าเกิดอาจารย์มาเจอเข้าตอนอยู่ในห้องสอบละก็ แทนที่จะสอบได้คะแนนดีๆ โดนปรับตก โดนทำโทษ อายคนอีกต่างหาก ว่าเป็นคนทุจริต เหวอๆ รีบเก็บๆๆ
     4 ข้อต่อไปนี้ ก่อนสอบนักเรียนโรงเรียนค้อวังวิทยาคม ต้องระวังทุกครั้งนะคะ โดยเฉพาะเรื่องทุจริต ห้ามทำเด็ดขาด ถือว่าร้ายแรงที่สุดในบรรดา 4 ข้อ เพราะจะกลายเป็นประวัติติดตัวเราไปตลอดเลยนะคะ  คงไม่อยากทำแบบนี้กันหรอก
   

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของเยาวชนไทย : 10 อุปนิสัยที่ไม่ควรแสดงในที่ทำงาน

คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของเยาวชนไทย :
.
10 อุปนิสัยที่ไม่ควรแสดงในที่ทำงาน
           คุณ พ่อคุณแม่ผู้ปกครอง ท่านคงจำได้ว่าในการเรียนของเด็กนั้น ทางโรงเรียนมักมีการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่เด็กๆ ควรแสดงออกในทางที่ดี ถ้าเป็นเด็กเล็กระดับชั้นอนุบาล ได้แก่ พัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา หากพฤติกรรมใดที่ทางคุณครูเห็นว่าประพฤติไม่เหมาะสมก็จะมีการตักเตือน หรือแจ้งคุณพ่อคุณแม่ให้ช่วยสอดส่องดูแล ว่ากล่าวตักเตือนด้วยอีกแรงหนึ่ง
        เมื่อเรียนชั้นประถมศึกษาทางโรงเรียนก็จะประเมิน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านการพัฒนาจริยธรรม คุณธรรม และค่านิยม สอนให้นักเรียนมีความรัก ความเมตตา เอื้อเฟื้อ เสียสละ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มีมารยาทงาม น่ารักเรียบร้อย เป็นที่ชื่นชอบแก่ผู้พบเห็น มีระเบียบวินัยต่อตนเอง คุณครูและพ่อแม่ผู้ปกครองมักจะได้พบปะพุดคุยกันเพื่อปรับพฤติกรรมของลูกๆ ทั้งในช่วงชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น
          แต่ เมื่อลูกเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนมักจะเข้มข้นในเรื่องวิชาการ ทำให้บางครั้งละเลยพฤติกรรมการกระทำที่ไม่เหมาะสมบางอย่าง และถ้าพ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลไต่ถามลูก การออกนอกลู่นอกทางก็มีโอกาสเสี่ยงมากขึ้น บางครั้งพ่อแม่เข้าใจว่าเด็กโตแล้ว ไม่ต้องการให้จุกจิกจู้จี้ขี้บ่น แต่ถ้าท่านสังเกตให้ดี เด็กสมัยนี้บางครั้งทำผิดโดยไม่รู้ตัวว่ากระทำผิด หรือไม่รู้ว่าคนอื่นเขาเดือดร้อน การสอนการแนะนำ กับการจุกจิกแตกต่างกัน ขอให้ท่านลองทบทวนดูครับ
         ดัง นั้น จึงขอเตือนมายังคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองทั้งหลาย ขอให้ท่านใส่ใจกับบุตรหลานของท่าน เพราะเพื่อนๆ ในช่วงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจะมีอิทธิพลต่อลูกของท่านมากๆ การแสดงออกบางครั้งติดมาจากเพื่อน การพูดจาเสียงดังเอะอะโวยวายเมื่อจับกลุ่มเดินกัน ไม่สนใจคนรอบข้างว่าจะได้รับความรำคาญหรือไม่ การเห็นแก่ตัวไม่ช่วยเหลืองานกลุ่ม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะติดตัวลูกของท่านไปจนถีงการเรียนในมหาวิทยาลัย และติดตามไปถึงเมื่อลูกต้องเข้าทำงาน ซึ่งจะแก้ไขปรับเปลี่ยนได้ยากมากจึงนำเสนอคุณลักษณะอันไม่พึงประสงค์ในการทำงาน ให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบเพื่อที่ท่านจะได้ช่วยแนะนำลูกๆ ตั้งแต่วัยรุ่นก่อนที่จะสายเกินแก้คะ
10 อุปนิสัยที่ไม่ควรแสดงในที่ทำงาน (จาก mcot.net)
ถ้า คุณไม่อยากกลายเป็นคนน่ารำคาญ ในสายตาเพื่อนร่วมงานหรือแย่หน่อยก็ของเจ้านาย และถ้าคุณไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาที่ใครๆ ก็แอบหัวเราะเยาะทุกครั้งที่คุณเดินผ่าน ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่ได้ทำตัวเลวร้ายอะไรนี่นา งั้น! ลองหันมามองตัวเองอีกครั้งสิว่า ตัวคุณเองมีนิสัยแบบนี้หรือเปล่า
1.จะพูดจาปราศัยกับใคร...คุณระมัดระวังแค่ไหน
บาง ครั้งคนเราก็มีหลุดคำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควร เวลาคุยกับคนอื่นบ้าง แต่สำหรับคุณ มันเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหนถ้าเกิดขึ้นแทบทุกครั้งก็ไม่ใช่หลุดแล้ว คุณต้องกลับมา พิจารณาตัวเองดูว่า คุณเป็นคนปากเสียที่ชอบพูดจาไม่เข้าหูใครใช่ไหม เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เรามักได้ยินคำไม่สุภาพบ่อยๆจากวัยรุ่น ติดมาถึงวัยทำงาน
2. นินทาแหลก
อัน นี้ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า คงห้ามไม่ได้ แต่ถ้านินทาคนอื่น จนเสียหายหลายแสนเรื่อง ไม่ต้องถึงหูคนที่คุณนินทาหรอกคน ที่คุณกำลังเม้าท์แตกให้ฟังนั่นแหละ เค้าจะรังเกียจจนกระทั่งเอาไปพูดให้คนอื่นรู้กันทั่วทีนี้ใครอยากจะคบกับคุณ ก็แปลกหล่ะ
3. ชอบลืมกระเป๋าสตางค์
อะไร จะขี้ลืมขนาดนั้นนะ ตอนลงไปกินข้าวด้วยกันก็ลืมกระเป๋าสตางค์ ตอนได้แจกซองผ้าป่าก็ลืม เวลาที่เพื่อนจะขอยืมเงินบ้างก็ลืมอีก ที่สำคัญเวลายืมเงินคนอื่นแล้วก็ยังชอบลืมคืน นิสัยแบบนี้ไม่ดีอย่าทำล่ะ
4. ประจบประแจง เลียแข้งเลียขา
นิสัย แบบนี้สังเกตตัวเองได้จาก คุณชอบจับผิดเพื่อนร่วมงานแล้วเอาไปเล่าให้เจ้านายฟังหรือเปล่าหรือบางทีก็ แกล้งพูดขึ้นมาเสียงดังให้เจ้านายได้ยินเมื่อใครมาทำงานสายประมาณว่า อ้าว! รถติดเหรอจ๊ะเธอ แหมแต่ฉันโชคดี รีบออกมา เลยมาถึงตั้งแต่ 7 โมงเช้า
นอก เหนือจากนั้นก็คือ รอกินข้าวพร้อมเจ้านายทุกวันไม่ว่าเขาจะชอบกินกับคุณหรือไม่ และรีบกุลีกุจอเข้าไปช่วยถือของทุกครั้งที่เจ้านายมาถึงทั้งที่มีแฟ้มบางๆ แค่อันเดียว แสดงออกนอกหน้านอกตาไปหน่อย รับรองได้ว่าคุณจะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ใครๆ ต่างรังเกียจเข้าไส้ แต่จะได้ดิบได้ดีหรือเปล่าไม่ขอยืนยัน
5. ขาด ลา มาสาย บ่อยๆ เกินหน้าเกินตาคนอื่น
ด้วย เหตุผลสารพัด ไม่ว่าจะเป็นรถติด รถเสีย หรือว่าท้องเสีย ไม่สบาย มีธุระกระทันหัน ถ้านานๆ ทีก็คงไม่มีอะไรเสียหายหรอก แต่สายบ่อยๆใครจะเชื่อคุณล่ะ
6. เจ้าอารมณ์ หรือเอาแต่ใจตัวเอง
อัน นี้เป็นพื้นฐานส่วนตัว คุณอาจต้องใช้เวลารักษาหน่อยแต่หากคุณดื้อดึง หรือไม่สนใจกับนิสัยตรงนี้ของคุณ ก็ขอบอกว่าเกิดผลเสียกับตัวคุณเต็มๆ และจะมีหลายคนได้รับผลกระทบอันนั้นแน่นอนเพื่อนร่วมงานก็คงเข้าหน้าไม่ติด และยิ่งถ้าคุณเป็นเจ้าคนนายคนด้วยแล้ว ลูกน้องก็คงไม่ค่อยชอบหน้าคุณเท่าไหร่นัก
7. ชอบเอาปัญหาส่วนตัวมาเที่ยวปรึกษาให้เพื่อนร่วมงานฟัง
เรื่อง นี้ดูเหมือนไม่น่าจะมีปัญหา แต่ถ้าคุณทำบ่อยๆ นอกจากจะเสียงานเสียการได้แล้ว คนอื่นก็คงไม่ค่อยอยากคุยกับคุณเท่าไหร่นัก ต้องแบ่งแยกให้ดีระหว่างเรื่องส่วนตัวกับงาน
8. แอบเอางานนอกมาทำ
ก็ ประมาณว่ารับจ็อบกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ แล้วเผอิญเดดไลน์คุณต้องส่งให้ทันก็เลยหอบมาทำที่ทำงาน ใช้คอมพิวเตอร์ เครื่องซีร๊อกซ์ กับปริ๊นเตอร์ที่ทำงานเสร็จสรรพ ของอย่างนี้ไม่มีคำอธิบายนอกจากจะบอกว่ามันไม่เหมาะไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง
9. ชอบทำเหมือนกับตัวเองเหนือกว่าคนอื่น
ชอบ ดูถูกผู้อื่นเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรคุณเป็นต้องดีเด่นกว่า และวาจาของคุณช่างน่าหมั่นไส้ ดูเหมือนว่าใครๆ ก็ดีได้ไม่เท่าคุณ แม้ว่าคุณจะมาจากตระกูลที่ดีขนาดไหน จบจากสถาบันที่ชื่อเสียงโด่งดังจากแห่งใด แต่ถ้าไม่เรียนรู้ที่จะเข้ากับคนอื่นได้ คุณก็ยังเป็นแค่คนที่ยังหลงอยู่ในยุคนางทาสนั่นแหละ
10. แข็ง ไม่ยอมใคร
ถ้า คุณมีนิสัยแบบนี้แล้วไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ล่ะก็ คุณอาจจะเป็นผู้เปลี่ยนงานบ่อยๆได้บางครั้งคุณก็ต้องปล่อยวางสิ่งบางอย่าง ให้มันผ่านพ้นไปบ้าง แล้วให้กาลเวลาเป็นผู้ตัดสินว่าสิ่งที่คุณคิดนั้นถูกต้อง
ครบ 10ข้อแล้ว มีข้อไหนที่สะดุดใจบ้างไหมว่า ช่างเหมือนตัวคุณเสียเหลือเกิน แต่ถ้ายังมองไม่เห็นอยู่ล่ะก็ คุณก็คงจะเกินเยียวยาแล้วล่ะ หากอยากทำงานด้วยความสุขสบายใจทั้งตัวคุณเองและเพื่อนร่วมงานต้องมองหาข้อ บกพร่องของตัวเองและหาทางแก้ไขแล้วล่ะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก อสมท.