วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หลักวิธีการคิด เพื่อสร้างความสุขให้กับชีวิต

ความสุข


ความ สุข ใครๆก็อยากมีกันทั้งนั้น ซึ่งการทำให้มีความสุขนั้นก็ไม่ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเช่นกัน แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการทำให้มีความสุข คือ การรักษาความสุขให้อยู่กับเราไปนานๆ


ความสุข ก็คือความพอใจ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความพอใจที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นการที่จะทำให้แต่ละคนมีความสุขจึงมีความยากง่ายไม่เท่ากันเช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ ความปรารถนาส่วนบุคคลนั้นๆ แต่โดยรวมแล้ว การจะทำให้ชีวิตมีความสุขนั้นก็มีหลักการคิดอยู่เพียงไม่กี่ข้อ ดังนี้ค่ะ


การสร้างความสุขนั้นสามารถทำได้โดย

1 การตั้งความหวัง
หรือการคาดหวัง จะต้องระลึกถึงความเป็นไปได้จริงด้วย พยายามอย่าคาดหวังอะไรที่เกินความสามารถ ที่ไม่สามารถทำให้เป็นจริง หรือคาดหวังโดยมีผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง เพราะถ้าเกิดการผิดหวังขึ้นมากะทำให้ชีวิตพบกับความทุกข์ได้


2 รักและเข้าใจตัวเอง ก่อนที่จะไปรักใคร เข้าใจใครเราจะต้องรักและเข้าใจตัวเองก่อน ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น ถึงแม้ว่าอาจไม่ได้ดีเท่าคนอื่น แต่ก็ยังมีคนที่ด้อยกว่าเรา ไม่มีใครที่ดีไปเสียหมดทุกอย่างหรอก เราต้องยอมรับความเป็นจริง ในเมื่อธรรมชาติสร้างมาให้เราเท่านี้ เราก็ต้องพอใจและยอมรับมัน คนเราเลือกที่จะเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ค่ะ


3 รู้จักเมตตาและให้อภัย คำนี้ต้องสร้างให้เป็นนิสัยติดตัวไปตลอด โดยการเริ่มจากตัวเองก่อน เมื่อผิดพลั้ง ผิดพลาดไป ก็ต้องรู้จักให้อภัยตัวเอง ไม่โกรธ ไม่เกลียดตัวเอง ไม่มีใครที่ถูกไปหมด หรือผิดไปหมดทุกเรื่องหรอกค่ะ เราจะต้องรู้จักการให้อภัย ซึ่งเมื่ออภัยให้ตัวเองได้แล้วก็จะเป็นพื้นฐานการ ให้อภัย และเมตตาผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เราไม่มีนิสัย อาคาด พยาบาท ไม่คิดร้ายก็ทำให้ชีวิตมีความสุข


4 รู้สึกดีกับตัวเอง เพราะการรู้สึกดีกับตัวเองก็คือการมีความสุขกับตัวเองนั่นเอง ลดความอิจฉา อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เค้ามีในสิ่งที่เราต้องการมากกว่า แต่จงมองดูว่าสิ่งที่เรามีนี้ บางคนเค้าก็อยากมีแต่ไม่มีเหมือนเรา จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา และจงอย่าไปอิจฉาชีวิตของคนอื่น พอใจในสิ่งที่ตนเองมี รู้สึกดีกับสิ่งที่ตัวเองเป็น เพียงเท่านี้กะมีความสุขแล้ว


อย่าง ไรก็ตามถ้าพยายามจนถึงที่สุดแล้ว ชีวิตก็ยังมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ถ้ารู้สึกว่าชีวิตนี้หาความสุขไม่ได้อีกแล้ว เราขอแนะนำให้คุณรีบไปปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อหาทางออกที่ดีค่ะ อย่าคิดว่าคนที่มีปัญหาทางจิต หรือเป็นบ้า เท่านั้นที่จะต้องไปพบจิตแพทย์ เพราะไม่เช่นนั้นการที่คุณหาทางออกจากความทุกข์ไม่ได้ จะเป็นสาเหตุให้สุขภาพกายแย่ สุขภาพจิตตก โรคต่างๆรุมเร้าได้ รีบหาทางแก้ไขเสียแต่เนิ่นๆดีกว่านะคะ

วิธีการอ่านหนังสือให้จํา เทคนิคการท่องจำหนังสือ

วิธีการอ่านหนังสือให้จํา เทคนิคการท่องจำหนังสือ


วิธีการอ่านหนังสือ
แนะนำวิธีการอ่านหนังสือประเภทต้องใช้ความจำเยอะ ฉบับสั้นๆ ให้เพื่อนๆ ลองนำไปใช้ดูค่ะ

1.สิ่งที่แรกคือ จดจ่ออยู่กับหนังสือ ไม่วอกแวก
2.เริ่มอ่าน...
3.พยามสรุปให้ได้ว่า แต่ละย่อหน้านั้นที่อ่านมามีอะไรบ้าง ประมาณว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร(สูตรนี้เอามาจากอาจารย์)
4.แต่ละหัวข้อนั้นๆ อันไหนสำคัญใช้ปากกาเน้นขีดไว้ (ประมาณว่าเก็งข้อสอบ)
5.พออ่านแล้วใช้ปากกาเน้นขีดเนื้อหาที่สำคัญของหัวข้อนั้นๆ หมดทุกเรื่อง เมื่อใกล้สอบให้กลับมาอ่านข้อความที่เน้นไว้ทุกข้อความ
6.ถ้าว่างจนไม่มีอะไรทำ ให้คิดทบทวนเนื้อหาที่อ่านมาในใจ ประมาณว่าหัวข้อนี้มีอะไรบ้างที่สำคัญ

6 ขั้นตอนนี้ไม่ยากเท่าใหร่ ขอแค่ความตั้งใจ สอบครั้งต่อไป ได้คะแนนเพิ่มแน่ๆ จ้า



หน้าที่ของธาตุแต่ละชนิดต่อร่างกาย

หน้าที่ของธาตุแต่ละชนิดต่อร่างกาย

ธาตุชนิดใด มีความสำคัญต่อเราอย่างไรบ้างรู้ไว้เป็นเกร็ดความรู้รอบตัว
แคลเซียม – องค์ประกอบในกระดูก และฟัน,? ช่วยในการตื่นตัวของกล้ามเนื้อและระบบประสาท, ช่วยให้เลือดแข็งตัว
ฟอสฟอรัส – องค์ประกอบในกระดูกและฟัน, ส่วนประกอบของ สารพลังงานต่างๆในร่างกายเช่น ATP? NADP, ส่วนประกอบของ RNA, รักษาสมดุลกรด-เบส ในร่างกาย
เหล็ก – ฮีมในฮีโมโกลบิน(ในเม็ดเลือดแดง)ประกอบด้วยเหล็ก, ตัวร่วมของเอนไซม์ ไซโทโครม ออกซิเดส
แมกนีเซียม – ส่วนประกอบของกระดูกและฟัน, กระตุ้นเอนไซม์ในกระบวนการเมทาบอลิซึม, รักษาสมดุลของเหลวภายนอกเซลล์
โซเดียม – ช่วยในการตื่นตัวของประสาท และกล้ามเนื้อ, คุมสมดุลกรดเบส
โพแทสเซียม – ร่วมกับแคลเซียมคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ, คุมสมดุลออสโมติก
ไอโอดีน – ส่วนประกอบของฮอร์โมนไทรอกซิน
กำมะถัน – กรดอะมิโน เส้นผม กระดูกอ่อน และเล็บประกอบ รวมทั้งโปรตีนอีกหลายชนิดประกอบด้วยกำมะถัน
ฟลูออไรด์ – สารเคลือบฟัน ปกป้องจากฟันผุ, กระดูกแข็งแรง, ดูดซึมธาตุเหล็ก
หวังว่าคงได้ความรู้ไม่มากก็น้อยนะครับ อ่านบทความดีๆที่นี่

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

9 สิ่งประดิษฐ์สุดฮอตของไทย ประจำปี 2011


  เผลอแป๊บเดียวก็กำลังจะย่างเข้าปี 2012 แล้วนะจ๊ะ ช่างไวจริงๆ และเพื่อให้เข้ากับช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีมะโรงที่จะมาถึง วันนี้จึงได้รวบรวม 9 สิ่งประดิษฐ์สุดฮอตประจำปี 2011  จากเว๊บของ Dek-D.com  มาฝาก  ซึ่งขอบอกถ้าไม่รู้จักของเหล่านี้ถือว่าเอ้าท์มากๆ 
เด็กดีดอทคอม :: 9 สิ่งประดิษฐ์สุดฮอตของไทย ประจำปี 2011
            เรือขวดน้ำ :: ดื่มน้ำเสร็จแล้วอย่าเพิ่งทิ้ง!! ขวดพลาสติกสามารถเป็นฮีโร่ให้กับทุกคนได้ จริงๆ นะ เพียงแค่มาวางเรียงรวมกันและนำเทปกาวมาพันรอบๆ ก็จะได้เรือนำไปสู้กับสถานการณ์น้ำท่วมแล้วจ้ะ

            เสื้อชูชีพสัตว์เลี้ยง :: เพื่อความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงแสนรัก เจ้าของจึงได้คิดประดิษฐ์เสื้อชูชีพเฉพาะกิจขึ้นมา ซึ่งทำมาจากวัสดุที่เหลือใช้ หรือหาได้ง่ายๆภายในบ้านทั้งขวดน้ำพลาสติก เสื้อยืดตัวเก่าที่ไม่ได้ใส่แล้ว และหนังยาง เพียงแค่นำมาตัด และมัด เท่านี้ก็จะได้เสื้อชูชีพสุดเท่ของสัตว์เลี้ยงแล้วจ้ะ

            เรือฟิวเจอร์บอร์ด :: นอกจากฟิวเจอร์บอร์ดจะช่วยป้องกันน้ำท่วมได้แล้ว ยังสามารถนำมาประดิษฐ์เป็นเรือได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรืออีกแบบที่ฮอตฮิตมากในสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้

เด็กดีดอทคอม :: 9 สิ่งประดิษฐ์สุดฮอตของไทย ประจำปี 2011

            ส้วมถุงดำ :: โอ๊ยๆ ข้าศึกบุก!! จู่โจมหนักและเบา แต่ห้องน้ำเข้าไม่ได้ทำยังไงดี? ปัญหานี้จะหมดไปเพียงแค่มีส้วมถุงดำ ซึ่งวิธีทำก็แสนง่าย เพียงแค่เจาะรูตรงกลางของเก้าอี้พลาสติก และนำถุงดำมาใส่ลงไปตรงกลางเท่านั้น แค่นี้ไม่ว่าข้าศึกจะรุกมาแบบไหน เราก็ไม่กลัวอีกแล้ว

            ส้วมกระดาษ :: เป็นส้วมอีกประเภทที่พี่ปัดขอบอกว่าฮอตฮิตไม่แพ้ส้วมถุงดำเลย แต่ก่อนที่จะนั่งลงไป ก็ต้องเช็คความมั่นคงของกล่องกระดาษสักนิดนะจ๊ะ ว่าสามารถรองรับน้ำหนักของเราได้รึเปล่า

           
พลาสติกคลุมรถ :: รถใคร ใครก็รัก ก็หวงจริงไหมจ๊ะ ดังนั้นเพื่อป้องกันรถแสนรักจากสถานการณ์น้ำท่วม เจ้าของรถทั้งหลายจึงได้นำพลาสติกมาคลุมรถของตัวเอง ซึ่งขอบอกว่าช่วยป้องกันน้องน้ำได้ดีทีเดียว รถใคร ใครก็รัก ก็หวงจริงไหมจ๊ะ ดังนั้นเพื่อป้องกันรถแสนรักจากสถานการณ์น้ำท่วม เจ้าของรถทั้งหลายจึงได้นำพลาสติกมาคลุมรถของตัวเอง ซึ่งขอบอกว่าช่วยป้องกันน้องน้ำได้ดีทีเดียว
เด็กดีดอทคอม :: 9 สิ่งประดิษฐ์สุดฮอตของไทย ประจำปี 2011

            คทาเช็คไฟ :: คทาวิเศษ จงเสกให้ข้ากลายเป็น... เอ๊ย!! ไม่ใช่ นี่มันคทาเช็คไฟนิหน่า แต่คทานี่พี่ปัดขอบอกว่ามันมีพรวิเศษเหมือนกันนะ เพราะสามารถตรวจเช็คไฟได้ทันทีว่าที่ไหนในบ้านบ้างที่มีไฟรั่ว ซึ่งถือว่าเป็นอุปกรณ์จำเป็นที่ควรมีติดบ้านไว้ยามน้ำท่วมเลยนะจ้ะ

            แพไม้ไผ่ :: หน้าตาแม้จะดูธรรมดา แต่ขอบอกว่านี่คือภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย ที่ปีนี้กลับมาฮอตฮิตอีกครั้งโดยเฉพาะในสถานการณ์น้ำท่วม

            รองเท้าถุงพลาสติก :: เทรนด์แฟชั่นปีนี้ขอบอกว่ารองเท้าบูทมาแรงแซงโค้งมากจ้ะ แถมราคานั้นก็แอบแพงพุ่งปรี๊ดอีกด้วย ดังนั้นเพื่อไม่ให้ตกแทรนด์นี้จึงมีผู้คิดประดิษฐ์รองเท้าถุงพลาสติกขึ้นมา ซึ่งขอบอกว่าเท่ เก๋ และสามารถใส่ลุยน้ำได้เช่นกัน




เห็นไหมจ๊ะว่าคนไทยเราเก่งแค่ไหน
ที่สามารถนำสิ่งของที่อยู่รอบตัวมาประดิษฐ์เป็นสิ่งต่างๆ ได้
แบบนี้ต้องตบมือให้หน่อยแล้ว

เด็กดีดอทคอม :: 9 สิ่งประดิษฐ์สุดฮอตของไทย ประจำปี 2011

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สังกะสีและแคดเมียม ( Zn , Cd )

สังกะสี แร่สังกะสีที่พบมากที่สุดคือ แร่สฟาเลอไรด์( ZnS ) เมื่อนำมาถลุงแล้วจะอยู่ในรูปของของเหลวไม่บริสุทธิ์ ในประเทศไทยพบแร่สังกะสีในหลายจังหวัด เช่น ลำปาง แพร่ แต่สำหรับที่ตากเป็นแร่สังกะสีชนิดซิลิเกต คาร์บอเนตและออกไซด์ ซึ่งจะมีลำดับวิธีการถลุงแร่แตกต่างกันออกไป
       ปัจจุบันมีการใช้โลหะสังกะสีอย่างกว้างขวาง โดยใช้เป็นสารเคลือบเหล็กกล้า ใช้ผสมกับทองแดงเกิดเป็นทองเหลืองเพื่อใช้ขึ้นรูปหรือหล่อมผลิตภัณฑ์ต่างๆ นอกจากนี้สารประกอบออกไซด์ของสังกะสียังนำมาใช้ในอุตสาหกรรมยาง สี เซรามิกส์ ยา เครื่องสำอาง และอาหารสัตว์
โลหะแคดเมียมใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมการผลิตเซลล์นิกเกิล-แคดเมียม ทำสีในอุตสาหกรรมพลาสติก เซรามิกส์ ทำโลหะผสม และใช้โลหะแคดเมียมเคลือบเหล็กกล้า ทองแดง และโลหะอื่นๆเพื่อป้องกันการผุกร่อน
สังกะสี คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 30 และสัญลักษณ์คือ Zn สังกะสีอยู่ในตารางธาตุหมู่ 12 ชื่อในภาษาอังกฤษมาจากภาษาเยอรมันว่า Zink
คุณสมบัติทั่วไป
  1. เป็นธาตุประเภทโลหะที่มีความไวต่อปฏิกิริยาเคมีพอสมควรกับออกซิเจนและธาตุที่ไม่ใช่โลหะ
  2. เมื่อทำปฏิกิริยากับกรดเจือจางจะปล่อยก๊าซไฮโดรเจนออกมา
สังกะสีพบที่จังหวัดลำปาง แพร่ เลย เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี ส่วนที่แม่สอด จังหวัดตากตากเป็นประเภท ซิลิเกต คาร์บอเนตออกไซด์ แร่สังกะสีที่สำคัญและพบมากที่สุด คือ แร่สฟาเลอไรต์ (ZnS)
การถลุงสังกะสี
ใช้วิธีการเผาในอากาศเพื่อปลี่ยนเป็นสารประกอบ ออกไซด์ แล้วถลุงที่ความร้อน 1100 oC โดยใช้คาร์บอนหรือคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นตัวรีดิวซ์ ดังนี้
ZnO(s) + C(s) ------> Zn (l) + CO (g)
ZnO(s) + CO(g) ------> Zn (l) + CO2(g)
สังกะสีที่ถลุงได้อยู่ในรูปของเหลวที่ไม่บริสุทธิ์ คาร์บอนไดออกไซด์จึงทำปฏิกิริยากับ คาร์บอนกลายเป็น คาร์บอนมอนอกไซด์ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ได้อีก
CO2(g) + C (s) --------> 2CO (g)
การถลุงสังกะสีที่มีสินแร่แฮมิมอไพต์ (Zn4Si2O7(OH)2H2O)
เริ่มจากกการนำแร่เปียกมาบดจนละเอียดแล้วให้ทำปฏิกิริยากับกรดซัลฟวริก เกิดเป็นสารประกอบ ZnSO4 ต่อจากนั้นปรับสภาพสารละลายให้เป็นกลางด้วยหินปูนหรือปูนขาว แล้วกรองเพื่อแยกกาก ออกจากสารละลาย แต่ ZnSO4 ที่ละลายอยู่ในสารละลายยังไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากมีเกลือของโลหะ แคดเมียม พลวง และทองแดงผสมอยู่ จึงต้องกำจัดไอออนเหล่านี้ออกโดยการเติมสังกะสีลงไป จะได้ตะกอนของ แคดเมียม พลวงและทองแดง ดังปฏิกิริยา
Zn(s) + CdSO4(aq) ----> ZnSO4 (aq) + Cd(s)
3Zn(s) + Sb2(SO4)3(aq) ----> 3ZnSO4 (aq) + 2Sb(s)
Zn(s) + CuSO4 (aq) -----> ZnSO4 (aq) + Cu(s)
ZnSO4 ที่ได้จะถูกส่งไปยังโรงแยกสารด้วยกระแสไฟฟ้าต่อไป
การแยกสารละลาย ZnSO4 ด้วยกระแสไฟฟ้า
เมื่อผ่านไฟฟ้ากระแกตรงในสารละลาย ZnSO4 จะเกิดปฏิกิริยาดังนี้
ที่แคโทด : Zn2+(aq) + 2e- ----> Zn(s)
ที่แอโนด : H2O (l) ----> 2H++ 1/2O2(g) + 2e-
ปฏิกิริยารวม : Zn2+(aq) + H2O(l)----> 2H+ + 1/2O2(g)+2e-
พบว่าได้โลหะสังกะสีเกาะอยู่ที่ขั้วแคโทดและแก๊สออกซิเจนเกิดขึ้นที่ขั้วแอโนด
การนำสังกะสีไปใช้ประโยชน์
  1. อุตสาหกรรมแผ่นเหล็กชุบ ลวดเหล็กชุปสังกะสี
  2. ภาชนะ เครื่องประดับ ที่จับประตู
  3. กล่องถ่านไฟฉาย
  4. สารประกอบออกไซด์ของสังกะสีใช้ใน อุตสาหกรรมยาง สี เครื่องสำอางและอาหารสัตว์
แคดเมียม
แคดเมียม คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 48 และสัญลักษณ์คือ Cd แคดเมียมเป็นโลหะทรานซิชันสีขาว-ฟ้า เป็นธาตุมีพิษ ในธรรมชาติพบอยู่ในแร่สังกะสี
การถลุงแคดเมียม
การถลุงแคดเมียมทำได้โดยนำกากตะกอน มาบดให้ละเอียดแล้ละลายในกรดซัลฟิวริกและ ทำให้เป็นกลางด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต
CdSO4(aq) + ตะกอน
จากนั้นเติมผงสังกะสีลงในสารละลายจะได้แคดเมียมตกตะกอนออกมา แล้วจึงนำแคดเมียมที่ได้ไปแยกด้วยกระแสไฟฟ้าต่ออีกครั้ง
การนำแคดเมียมไปใช้
  1. อุตสาหกรรมผลิตเซลล์นิกเกิล - แคดเมียม
  2. ใช้เคลือบเหล็กกล้า ทองแดงป้องกันโลหะการผุกร่อน
  3. ทำสีในอุตสาหกรรมพลาสติก เซรามิกส

สารเคมีในชีวิตประจำวัน

ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับสารหลายชนิด ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน สารที่ใช้ในชีวิตประจำวันจะมีสารเคมีเป็นองค์ประกอบ ซึ่งสามารถจำแนกเป็นสารสังเคราะห์และสารธรรมชาติ เช่น สารปรุงรสอาหาร สารแต่งสีอาหาร สารทำความสะอาด สารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช เป็นต้น ในการจำแนกสารเคมีเป็นพวกๆ นั้นเราใช้วัตถุประสงค์ในการใช้เป็นเกณฑ์การจำแนก ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. สารปรุงแต่งอาหาร
     1.1 ความหมายสารปรุงแต่งอาหาร
สารปรุงแต่ง อาหาร หมายถึง สารปรุงรสอาหารใช้ใส่ในอาหารเพื่อทำให้อาหารมีรสดีขึ้น เช่น น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ และให้รสชาติต่างๆ เช่น
       -  น้ำตาล   ให้รสหวาน
       -  เกลือ   น้ำปลา ให้รสเค็ม
       -  น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยว
     1.2 ประเภทของสารปรุงแต่งอาหาร แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
       1. ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำส้มสายชู น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสมะเขือเทศ เป็นต้น
       2. ได้จากธรรมชาติ เช่น เกลือ น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก อัญชัน เป็นต้น
2. เครื่องดื่ม
เครื่องดื่ม หมายถึง สิ่งที่มนุษย์จัดเตรียมสำหรับดื่ม และมักจะมี น้ำ เป็นส่วนประกอบหลัก บางประเภทได้คุณค่าทางโภชนาการ บางประเภทดื่มแล้วไปกระตุ้นระบบประสาท และบาง
ประเภทดื่มเพื่อดับกระหาย แบ่งออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ น้ำดื่มสะอาด น้ำผลไม้ นม น้ำอัดลม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ชาและกาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
     1) น้ำดื่มสะอาด
น้ำดื่มสะอาด เป็นเครื่องดื่มที่ไม่สิ่งอื่นเจือปน เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ปัจจุบันน้ำดื่มสะอาดได้รับความนิยมมาก ผู้ผลิตมักจะบรรจุน้ำดื่มในขวดใสสะอาดแก้วที่สะอาด เหมาะสำหรับที่จะเสิร์ฟในร้านอาหาร หรือในงานเลี้ยงต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักส่วนใหญ่มักจะเลือกเครื่องดื่มชนิดนี้แทนเครื่องดื่มที่ มีรสหวานอื่นๆ
     2) น้ำผลไม้
น้ำผลไม้เป็นเครื่องดื่มที่มี ประโยชน์มากอย่างหนึ่ง และต้องเป็นน้ำผลไม้ที่สดๆ จึงจะได้คุณค่ามาก ผู้ผลิตมักจะนำผลไม้ที่มีมากในฤดูกาลมาคั้นเอาแต่น้ำ นำมาเคี่ยวกับน้ำตาล หรือนำผลไม้สดมาปั่นผสมกับน้ำแข็ง น้ำเชื่อม จะได้รสชาติแปลกๆ หลายอย่าง

3. สารทำความสะอาด
     3.1 ความหมายของสารทำความสะอาด
สารทำความสะอาด หมายถึง คุณสมบัติในการกำจัดความสกปรกต่างๆ ตลอดจนฆ่าเชื้อโรค
     3.2 ประเภทของสารทำความสะอาด
แบ่งตามการเกิด ได้ 2 ประเภท คือ
     1) ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำยาล้างจาน สบู่ก้อน สบู่เหลว แชมพูสระผม ผงซักฟอก
สารทำความสะอาดพื้นเป็นต้น
ภาพที่ 1 แสดงสารทำความสะอาด
     2) ได้จากธรรมชาติ เช่น น้ำมะกรูด มะขามเปียก เกลือ เป็นต้น
แบ่งตามวัตถุประสงค์ในการใช้งานเป็นเกณฑ์ แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ

       2.1 สารประเภททำความสะอาดร่างกาย ได้แก่ สบู่ แชมพูสระผม เป็นต้น
       2.2 สารประเภททำความสะอาดเสื้อผ้า ได้แก่ สารซักฟอกชนิดต่างๆ
       2.3 สารประเภททำความสะอาดภาชนะ ได้แก่ น้ำยาล้างจาน เป็นต้น
       2.4 สารประเภททำความสะอาดห้องน้ำ ได้แก่ สารทำความสะอาดห้องน้ำทั้งชนิดผงและชนิดเหลว

สมบัติของสารทำความสะอาด

สารทำความสะอาด เช่น สบู่ แชมพูสระผม สารล้างจาน สารทำความสะอาดห้องน้ำ สารซักฟอก บางชนิดมีสมบัติเป็นกรด บางชนิดมีสมบัติเป็นเบสซึ่งทดสอบได้ด้วยกระดาษลิตมัส

สารทำความสะอาด ห้องน้ำและเครื่องสุขภัณฑ์บางชนิดมีสมบัติเป็นกรด สามารถกัดกร่อนหินปูนที่ยาไว้ระหว่างกระเบื้องปูพื้นหรือฝาห้องน้ำบริเวณ เครื่องสุขภัณฑ์ ทำให้คราบสกปรกที่เกาะอยู่หลุดลอกออกมาด้วย ถ้าใช้สารชนิดนี้ไปนานๆ พื้นและฝาห้องน้ำจะสึกกร่อนไปด้วย นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้ใช้เกิดความระคายเคืองของระบบทางเดินหายใจและผิวหนังอีกด้วย ดังนั้น ในการใช้ต้องระมัดระวังโดยปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้อย่างเคร่งครัดและต้องใช้ ในปริมาณที่เหมาะสม การใช้ในปริมาณมากเกินไป ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยทำความสะอาดได้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม อาจทำให้สิ้นเปลืองและทำลายสิ่งแวดล้อม ส่วนสารทำความสะอาดห้องน้ำและเครื่องสุขภัณฑ์

4. สารกำจัดแมลง และสารกำจัดศัตรูพืช
     4.1 ความหมายของสารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช สารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช หมายถึง สารเคมีที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ป้องกันการกำจัด และควบคุมแมลงต่างๆ ไม่ให้มารบกวน มีทั้งชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดน้ำ
     4.2 ประเภทของ สารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
       1. ได้จากการสังเคราะห์ เช่น สารฆ่ายุง สารกำจัดแมลง เป็นต้น
ภาพที่ 2 แสดงสารป้องกันและฆ่าแมลง (สารฆ่ายุง สารฆ่าแมลง)
     2. ได้จากธรรมชาติ เช่น เปลือกมะนาว เปลือกมะกรูด เปลือกส้ม เป็นต้น
5.เครื่องสำอาง
     5.1 ความหมายของเครื่องสำอาง
เครื่องสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบร่างกาย เพื่อใช้ทำความสะอาดเพื่อให้เกิดความสดชื่น ความสวยงาม และเพิ่มความมั่นใจ
     5.2 ประเภทของเครื่องสำอาง แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ
       1 ) สำหรับผม เช่น แชมพู ครีมนวด เจลแต่งผม ฯลฯ
       2 ) สำหรับร่างกาย เช่น สบู่ ครีม และโลชั่นทาผิว ยาทาเล็บ น้ำยาดับกลิ่นตัว แป้งโรยตัว ฯลฯ
       3 ) สำหรับใบหน้า เช่น ครีม โฟมล้างหน้า แป้งผัดหน้า ลิปสติก ดินสอเขียนคิ้วและดินสอเขียนขอบตา
       4 ) น้ำหอม
       5 ) เบ็ดเตล็ด เช่น ครีมโกนหนวด ผ้าอนามัย ยาสีฟัน ฯลฯ
เผยแพร่โดย นางสาววันวิสาข์  ครองสิน

คุณลักษณะ 10 ประการของเด็กไทยเพื่อชัยชนะ ในศตวรรษที่ 21

ท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคโลการภิวัฒน์ ย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 การศึกษาเป็นกลไกสำคัญ ในการพัฒนาเยาวชนให้เติบโตเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพของประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศต่างแข่งขันกันพัฒนาเยาวชนของตนอย่างถึงที่สุด  หากย้อนถึงประเทศไทยเราคงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองคุณลักษณะ 10 ประการเพื่อชัยชนะ ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเด็กจะเป็นผู้นำทางชีวิตตนเองได้ถ้าได้พัฒนาสิ่งต่อไปนี้

1. การพึ่งตนเองได้
2. ความเชื่อมั่นในตนเอง
3. การตัดสินใจด้วยตนเอง
4. การรู้จักตนเอง
5. การเคารพตนเอง
6. การควบคุมตนเอง
7. การยับยั้งชั่งใจตนเอง
8. แรงจูงใจในตนเอง
9. การยืนหยัดด้วยตนเอง
10. การมีวินัยในตนเอง
จากหนังสือ “เด็กเก่า สร้างได้” แปลจาก : Creating Kids Who Can จีน รอบบ์และฮิลลารี่ เลตส์ ผู้เขียน วราภรณ์ ผ่อนศิริผู้แปล
เผยแพร่โดย นางสาววันวิสาข์  ครองสิน

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สารพัดโรคที่มาจากการอดนอน

ใครไม่เคยอดนอนบ้าง ยกมือขึ้น... ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่ยกมือ เราขอแสดงความยินดีกับคุณด้วย เพราะคุณจะมีอายุที่ยืนยาวกว่าคนที่อดนอนแน่ ๆ

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น...

เพราะว่าคนที่อดนอนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคได้หลากหลายโรคมากกว่าที่คิดหน่ะสิ...

ไปดูกันหน่อยว่า จะส่งผลต่อร่างกายเราอย่างไรบ้าง

-มี งานวิจัยที่ทดลองให้อาสาสมัครหนุ่มสาวนอนวันละ 4 ชม.ถึง 6 คืนด้วยกัน จากนั้นก็ทำการเจาะตัวเลือดเพื่อหาระดับน้ำตาล ผลปรากฏว่า มีระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูง ควบคุมได้ยาก และมีลักษณะคล้ายกับอาการของโรคเบาหวาน ...

-การอด นอนยังส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเลปติน ซึ่งเป็นการที่สื่อต่อระบบประสาทว่า ควรจะอิ่ม ได้เร็วหรือช้าเท่าใดตามความต้องการอาหารของร่างกาย เมื่อระดับเลปตินลดลง ระดับของความอยากอาหารจะเพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่ทานอาหารจนได้รับพลังงานที่เพียงพอแล้วก็ตาม

-การนอนไม่พอยังส่งผลต่อเม็ดเลือดขาวและกลไกการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยง่ายเมื่อเจอเชื้อโรค

-นอก จากนี้นักวิจัยยังพบอีกด้วยว่า การอดนอนเป็นสาเหตุของโรคอ้วนอีกเช่นกัน โดยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเร่งการเติบโต ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพและควบคุมสัดส่วนของไขมัน ต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย การอดนอนทำให้ฮอร์โมนชนิดนี้หลั่งน้อยลง ทำให้อยากอาหารมากขึ้น ...

-การอดนอนมาก ๆ อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่าง ๆ ได้ ...ฟังดูไม่น่าเชื่อ... แต่ที่เป็นอย่างนั้นได้เพราะ เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ มันจะไปส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ทำงานแปรปรวนเนื่องจากการอดนอนและแสงรบกวนในเวลากลางคืน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องนอนให้เพียงพอแล้ว เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย

ไม่ ใช่แค่สารพัดโรคที่ส่งผลมาจากการอดนอนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีผลข้างเคียงที่เห็นอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็น ใบหน้าทรุดโทรมหมองคล้ำ ร่างกายไม่ตื่นตัว ปวดหัวระหว่างวัน หรือแม้แต่ทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ แต่เราสามารถป้องกันได้โดยการอย่าอดนอนโดยไม่จำเป็น

หากเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ควรให้ร่างกายได้มีการพักผ่อนเสียบ้าง แค่นี้ก็จะพาร่างกายเราให้ห่างไกลโรคต่างๆได้แล้วหล่ะ
เผยแพร่บทความโดย : นางสาววันวิสาข์  ครองสิน

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ภัยร้ายจากไอที

ชีวิต ประจำวันเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์การสื่อสารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งโทร ศัพท์มือถือ ไอโฟน ไอแพด แบล็กเบอร์รี่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เหล่านี้หากใช้เป็นเวลานานๆ จะก่อให้เกิดผลกระทบกับระบบกล้ามเนื้อ เช่น ชาที่มือ อันเกิดจากท่าทางการใช้เครื่องมือสื่อสาร เช่น บีบี ไอโฟน ทำ ให้เกิดการกดทับหลอดเลือดและเส้นประสาทบริเวณข้อมือ การแนบโทรศัพท์มือถือที่หูเป็นเวลานานๆ ทำให้ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดศีรษะข้างเดียวหรือไมเกรน การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันหลายชั่วโมง อาจก่อให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า และหลัง รวมทั้งปวดตา ตาพร่า
แพทย์อายุรเวท วิภาพร สายศรี จากคลินิกรักษาโรคปวดศีรษะด๊อกเตอร์แคร์ กล่าวว่า ลักษณะ เชิงกายภาพของคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ เมื่อใช้งานเป็นระยะเวลานานๆ เกิดการใช้กล้ามเนื้อซ้ำๆ เป็นเวลานาน ทำให้เกิดการเกร็งตัวสะสมของกล้าม เนื้อจนเกิดเป็น Trigger Point การพักผ่อนและการบริหารกล้ามเนื้อ อย่างถูกวิธีเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการบรรเทาอาการ และชะลอการเกิดอาการปวดเรื้อรัง แต่กรณีที่อาการปวดเรื้อรังอยู่ในระดับที่รบกวนการทำกิจกรรมตามปกติ การรักษาที่เรียกว่า Trigger Point Therapy เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ
วิธี การรักษาแบบ Trigger Point Therapy เป็นการคลายกล้ามเนื้อส่วนบนของมัดกล้ามเนื้อที่เป็นปัญหา และสลายจุด Trigger Point ที่เกิดจากการเกร็งตัวสะสมของมัดกล้ามเนื้อส่วนล่าง เมื่อจุด Trigger Point คลายออกจนเป็นกล้ามเนื้อปกติ การอักเสบของกล้ามเนื้อดีขึ้น อาการปวดเรื้อรังก็จะดีขึ้นและหายดีในที่สุด
เทคนิคการบริหารกล้ามเนื้อคอ เพื่อคลายความตึงเครียดระหว่างนั่งปฏิบัติงาน
ท่าที่ 1 หันศีรษะไปทางซ้ายช้าๆ ใช้มือซ้ายช่วยดึงค้างไว้นับ 1-10 วินาที จากนั้นสลับทำด้านขวา
ท่าที่ 2 ก้มศีรษะพยายามให้คางชิดอกมากที่สุด ค้างไว้ 10 วินาที
ท่าที่ 3 เงยหน้าขึ้นช้าๆ ไปด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค้างไว้ 10 วินาที
ท่าที่ 4 เอียงศีรษะไปทางด้านขวา ใช้มือขวาช่วยดึง พยายามให้ศีรษะชิดไหล่มากที่สุด ค้างไว้ 10 วินาที จากนั้นสลับทำด้านซ้าย
ท่าที่ 5 หันศีรษะไปทางด้านซ้าย 45 องศา ใช้มือขวาช่วยดึงพร้อมก้มลงช้าๆ ให้มากที่สุดค้างไว้ 10 วินาที จากนั้นสลับทำด้านขวา

การดูแลเครื่องยนต์ที่ติดตั้ง NGV, LPG

ในยุคของเศรษฐกิจ และน้ำมันแพงเช่นนี้ การเลือกเปลี่ยนจากน้ำมันมาเป็นระบบแก็สถือได้ว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการ ค่าประหยัดค่าใช้จ่าย การบำรุงดูแลรักษาก็เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เพื่อยืดอายุการใช้งานเครื่องยนต์ มีตำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ
  1. ควรเลือกติดตั้งระบบอุปกรณ์ก๊าซให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ที่ใช้งานอยู่ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพของการเผาไหม้ สมรรถนะเครื่องยนต์ และปริมาณมลพิษที่ปล่อยออกมากับไอเสีย นอกจากนี้ ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ระยะเวลาในการคืนทุน การให้บริการหลังการติดตั้ง และค่าใช้จ่ายในการดูแลซ่อมบำรุงในระยะยาว
  2. การปรับแต่งการจ่ายเชื้อเพลิงจะต้องดำเนินการโดยผู้ที่มีความรู้ความ ชำนาญของระบบนั้นๆ การปรับแต่งที่ผิดพลาด อาจเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหายได้
  3. ผู้ใช้รถยนต์ที่ใช้ NGV , LPG  ควรสังเกตสิ่งผิดปกติของเครื่องยนต์ เช่น มีเสียงดังผิดปกติ เครื่องยนต์สั่น อย่างไม่ปกติ หากพบอาการดังกล่าว ควรรีบนำรถยนต์ไปให้ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในระบบนั้นๆ ทำการตรวจสอบแก้ไข
  4. ประชาชนที่สนใจจะติดตั้งระบบ NGV , LPG ควรพิจารณาถึงระยะทางใช้งานในแต่ละวัน โดยในแต่ละวัน ควรมีรถยนต์ วิ่งใช้งานอย่างน้อยวันละ 50 กม. ทั้งนี้ถ้าระยะทางที่วิ่งใช้งานน้อยก็จะใช้เวลาคืนทุนนานขึ้น
  5. ประชาชนที่จะทำการติดตั้งระบบ NGV , LPG ในเส้นทางใกล้สถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบัน เปิด บริการแล้ว 66 สถานี และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2549 รวม 200 สถานี
  6. ตรวจเช็ครอยรั่วของท่อก๊าซ NGV , LPG ทุกเดือน โดยการใช้ฟองสบู่หรือเครื่องตรวจวัดก๊าซรั่ว
  7. ตรวจเช็คและทำความสะอาดไส้กรองอากาศทุก 5,000 กม. ซึ่งบ่อยกว่าถ้าใช้น้ำมันเบนซินเพียงอย่างเดียว
  8. ตรวจเช็คน็อต สกรูที่ยึดถังก๊าซทุกเดือน
  9. ควรตรวจเช็ค และตั้งบ่าวาล์วไอเสียทุกระยะทางใช้งาน 40,000 - 60,000 กม. (บ่อยกว่าการใช้น้ำมันเบนซิน) ทั้งนี้ บ่าวาล์วไอเสียของเครื่องยนต์ใช้ก๊าซ NGV , LPG มีโอกาสจะสึกหรอเร็วกว่าการใช้น้ำมันเบนซิน จึงแนะนำให้ใช้น้ำมัน เบนซินสลับกับการใช้ก๊าซ NGV, LPG บ้างเพื่อให้น้ำมันเบนซินไปเคลือบบ่าวาล์วทำให้บ่าวาล์วมีอายุการใช้งานนาน ขึ้น
ควรเติม TOPBOOSTER ลงในถังน้ำมันเบนซิน และใช้สลับกับ NGV , LPG จะช่วยให้การใช้งานของเครื่องยนต์ท่านยาวนานออกไปอีกนานๆ
การดูแลรถยนต์หลังจากติดแก๊ส
   มาดูกันครับว่าเราจะดูแลรถแสนรักของเราอย่างไรให้อายุการใช้งานยืนยาวไปตราบ เท่าที่เขาจะอยู่กับเราครับ ติดแก๊สแล้วจะต้องดูแลอะไรบ้าง
               การติดตั้งแก๊สรถยนต์ย่อมมีผลเสียต่อเครื่องยนต์อย่างแน่นอน เนื่องจาก แก๊สนั้น ไม่ได้ถูกออกแบบมาใช้กับรถยนต์ดังนั้นจึงควรมีการดูแลที่ใกล้ชิดพอสมควร
  1. ตรวจเช็ครอยรั่วซึมของก๊าซ ตามข้อต่อ และจุดต่างๆ ทุกเดือน โดยใช้ฟองสบู่ หรือเครื่องตรวจวัดการรั่วของก๊าซ
  2. ตรวจเช็คและทำความสะอาดไส้กรองอากาศทุกๆ 5,000 กิโลเมตรซึ่งบ่อยกว่าการตรวจเช็คเมื่อใช้น้ำมันเบนซินเพียงอย่างเดียว (ปกติ 10,000 กิโลเมตร)
  3. ตรวจสอบอุปกรณ์สำหรับเติมก๊าซ ถังก๊าซตรวจ น็อตที่ยึดถังก๊าซทุกเดือน
  4. ควรตรวจเช็ค และตั้งบ่าวาล์วไอเสียทุกระยะ 40,000 - 60,000 กม. เพราะบ่าวาล์วไอเสียของเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV และ LPG จะมีโอกาสสึกหรอเร็วกว่าการใช้น้ำมันเบนซิล จึงควรที่จะใช้น้ำมันเบนซินสลับกับการใช้ก๊าซ เพื่อให้น้ำมันเบนซินไปเคลือบบ่าวาล์วบ้างเพื่อให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น
  5. ห้ามดัดแปลงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้งานก๊าซที่ได้รับการติดตั้งจากศูนย์ที่ได้มาตรฐานหากมี ปัญหาให้รีบติดต่อศูนย์บริการที่ติดตั้งมาทันที
  6. ห้ามเติมก๊าซเกินแรงดันที่กำหนดไว้ของถัง จะทำให้ถังเสื่อมคุณภาพเร็ว และอาจระเบิดได้
  7. เพื่อรักษาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ควรใช้น้ำมันสตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนและหลังการใช้
  8. หากเกิดการรั่วไหลของก๊าซ ให้รีบหยุดรถ และดับเครื่องยนต์โดยทันที รีบปิดวาล์วที่ถังก๊าซ และห้ามทำการใดๆ ที่ทำให้เกิดประกายไฟ ตรวจดูว่าหากไม่มีการรั่วไหล เพิ่ม ให้เปลี่ยนระบบมาใช้น้ำมันสตาร์ทเครื่องแล้วรีบนำรถเข้าไปยังศูนย์บริการที่ ติดตั้งโดยทันที
  9. หากเกิดไฟไหม้ที่ตัวรถให้รีบดับเครื่องยนต์ปิดวาล์วที่ถังก๊าซโดยทันทีถ้าทำได้ และออกห่างจากตัวรถ หรือพยายามดับไฟที่แหล่งกำเนิด
  10. เพื่อรักษาประสิทธิภาพ และคุณภาพของชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบน้ำมัน ควรมีน้ำ มัน ติดถังไว้อย่างน้อย 1 ส่วน 4 ถังเสมอๆ และเพื่อป้องกันระบบปั๊มน้ำมันเสีย

12 วิธีการประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ

ในยุคของเศรษฐกิจที่ข้าวของแพงเช่นนี้ มองไปทางใหน ก็มีแต่ขึ้นราคากัน การประหยัด เป็นอีกทางออกที่ทุกคนสามารถทำได้ในเวลานี้ ถ้าพูดถึงเรื่องน้ำมันแล้ว คนกรุงอย่างเรา ๆ ก็ยังคงเดินทางไปไหนมาไหนโดยอาศัย "รถยนต์" เป็นหลัก ดังนั้น ไม่ว่าทางไหนที่จะสามารถประหยัดได้ก็น่าที่จะลองดู
มีวิธีประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ 12 วิธี มาฝากกัน โดยเป็นการรวบรวมจากอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ลองปฏิบัติดูอาจจะช่วยประหยัดได้บ้างไม่มากก็น้อย
ขั้นตอนการประหยัด ผลที่จะได้รับ
  1. เติมน้ำมันหลัง 4 ทุ่ม หรือก่อน 9 โมงเช้าเสมอ
  2. เติมน้ำมันแค่หัวจ่ายตัดพอแล้ว ถ้าเติมจนเต็มปรี่
  3. อุ่นเครื่อง 1 นาทีในหน้าร้อนและ 3 นาทีในหน้าหนาว
  4. ค่อยๆออกตัวเมื่อรถจอดนิ่ง 1-2 พันรอบ ได้ความนิ่มนวล
  5. ควรใช้เกียร์สูงเมื่อรถวิ่งได้ 2500 รอบขึ้นไป
  6. เครื่อง 2.0 ลิตรขึ้นไปความเร็วคงที่ที่ทำให้ประหยัด 110 กม./ชม.
  7. เครื่อง 1.6 ลิตรขึ้นไปความเร็วคงที่ที่ทำให้ประหยัด 90 กม./ชม.
  8. พักรถสัก 15 นาทีเมื่อขับเกิน 4 ชม.เพื่อให้ลดความร้อน
  9. เกียร์ถอยกินน้ำมันมากสุด ควรค่อยๆถอยไม่ต้องรีบ
  10. ก่อนถึงปลายทางสัก 500 เมตรให้ปิด COM แอร์ลดภาระเครื่อง
  11. เช็คลมยางให้สม่ำเสมอทุกๆ 2 อาทิตย์และเมื่อจะออกเดินทางไปต่างจังหวัด
  12. พยายามอย่าใส่ของไว้ในรถเยอะ
อุณหภูมิที่เย็นน้ำมันหดตัวได้ปริมาตรมากขึ้น 2%
ถ้าเติมจนเต็มปรี่ ร้อนๆน้ำมันจะขยายตัวระเหยทิ้งที่รูระบาย
เครื่องจะได้ไม่ใช้กำลังฉุดมากและการหล่อลื่นจะสมบูรณ์ขึ้น
ได้ความนิ่มนวล ประหยัด และลดการสึกหรอของเครื่องยนต์
การลากเกียร์จะทำให้ชดเกียร์ทำงานจนอายุการใช้งานสั้น
รักษาสเถียรภาพความเร็วทำให้กินน้ำมันน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง
รักษาสเถียรภาพความเร็วทำให้กินน้ำมันน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง
ให้น้ำมันในระบบคลายความร้อนกลับมามีคุณสมบัติที่ดีอีกครั้ง
เกียร์ถอยใช้อัตราทดและแรงฉุดมากกว่าทุกเกียร์
เป่าลมไล่ความชื้นในตู้แอร์และไล่เชื้อราที่อยู่ในนั้นด้วย
ลมยางอ่อนวิ่งได้ช้า ขอบยางสึกมากอายุการใช้งานสั้น
เพิ่มน้ำหนักรถทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้น 20 % ตามระยะทาง 
การลดค่าใช้จ่ายในยุดข้าวของแพงอย่างนี้ มีวิธีใหนที่สามารถทำได้ ช่วยกันประหยัดได้ โดยที่ไม่หนักหนาอะไร ก้มาช่วยๆกันแชร์ความรู้ให้ทุกคนได้นำไปใช้กัน เพื่อจะได้ฝ่าพ้นวิกฤติแบบนี้ไปได้

ความรู้เกี่ยวกับถ่านหิน

 
ถ่านหิน เป็นวัตถุดิบที่นำเอาเอามาใช้ในการสร้างพลังงาน ประเภทของถ่านหินก็นำมาใช้ประโยชน์แตกต่างกันไป โรงไฟฟ้าบางแห่ง ยังคงนำถ่านหินมาใช้ประโยชน์อยู่ การใช้พลังงานจากถ่านหิน เป็น สาเหตุที่ทำให้เกิดมลพิษ แต่ถึงกระนั้นความพยายามพัฒนาพังงานถ่านหินเป็นพลังงานที่สะอาดก็ยังคงมี อยู่
ถ่านหิน คือ หินตะกอนชนิดหนึ่งและเป็นแร่เชื้อเพลิงสามารถติดไฟได้ มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีดำ มีทั้งชนิดผิวมันและผิวด้าน น้ำหนักเบา ถ่านหินประกอบด้วยธาตุที่สำคัญ ๔ อย่างได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน และออกซิเจน นอกจากนั้น มีธาตุหรือสารอื่น เช่น กำมะถัน เจือปนเล็กน้อย ถ่านหินที่มีจำนวนคาร์บอนสูงและมีธาตุอื่น ๆ ต่ำ เมื่อนำมาเผาจะให้ความร้อนมาก ถือว่าเป็นถ่านหินคุณภาพดี
1. ประเภทของถ่านหิน
ถ่านหินสามารถแยกประเภทตามลำดับชั้นได้เป็น ๕ ประเภท คือ
  1. พีต (Peat) เป็นขั้นแรกในกระบวนการเกิดถ่านหิน ประกอบด้วยซากพืชซึ่งบางส่วนได้สลายตัวไปแล้วสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้
  2. ลิกไนต์ (Lignite) มีซากพืชหลงเหลืออยู่เล็กน้อย มีความชื้นมาก เป็นถ่านหินที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง
  3. ซับบิทูมินัส (Subbituminous) มีสีดำ เป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพเหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้า
  4. บิทูมินัส (Bituminous) เป็นถ่านหินเนื้อแน่น แข็ง ประกอบด้วยชั้นถ่านหินสีดำมันวาว ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการถลุงโลหะ
  5. แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถ่านหินที่มีลักษณะดำเป็นเงา มันวาวมาก มีรอยแตกเว้าแบบก้นหอย ติดไฟยาก
พีต (Peat)
เป็นถ่านหินในขั้นเริ่มต้นของกระบวนการเกิดถ่านหิน ซากพืชบางส่วนยังสลายตัวไม่หมด และมีลักษณะให้เห็นเป็นลำต้น กิ่งหรือใบ มีสีน้ำตาลจนถึงสีดำ มีความชื้นสูง สารประกอบที่เกิดขึ้นมีปริมาณออกซิเจนสูงแต่มีปริมาณคาร์บอนต่ำ เมื่อนำพีตมาเป็นเชื้อเพลิงต้องผ่านกระบวนการไล่ความชื้นหรือทำให้แห้งก่อน ความร้อนที่ได้จากการเผาพีตสูงกว่าที่ได้จากไม้ ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อให้ความร้อนในบ้านหรือผลิตไฟฟ้า ข้อดีของพีตคือมีร้อยละของกำมะถันต่ำกว่าน้ำมันและถ่านหินอื่น ๆ
ลิกไนต์ (Lignite) หรือถ่านหินสีน้ำตาล
เป็นถ่านหินที่มีซากพืชเหลืออยู่เล็กน้อย ลักษณะเนื้อเหนียวและผิวด้าน มีปริมาณออกซิเจนและความชื้นต่ำ มีปริมาณคาร์บอนสูงกว่าพีต เมื่อติดไฟมีควันและเถ้าถ่านมาก ลิกไนต์ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับให้ความร้อนและใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
ซับบิทูมินัส (Sub–bituminous)
เป็นถ่านหินที่เกิดนานกว่าลิกไนต์ มีสีน้ำตาลจนถึงดำ ลักษณะมีทั้งผิวด้านและผิวมัน มีทั้งเนื้ออ่อนร่วนและแข็ง มีปริมาณออกซิเจนและความชื้นต่ำ แต่มีปริมาณคาร์บอนสูงกว่าลิกไนต์ ใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าและอุตสาหกรรม
บิทูมินัส (bituminous)
เป็นถ่านหินที่เกิดนานกว่าซับบิทูมินัส มีเนื้อแน่นและแข็ง มีทั้งสีน้ำตาลจนถึงสีดำ มีปริมาณออกซิเจนและความชื้นต่ำ แต่มีปริมาณคาร์บอนสูงกว่าซับบิทูมินัส ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการถลุงโลหะ และนำมาเป็นวัตถุดิบเพื่อเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงเคมีอื่น ๆ ได้
แอนทราไซต์ (Anthracite)
เป็นถ่านหินที่มีอายุการเกิดนานที่สุด มีสีดำ ลักษณะเนื้อแน่น แข็ง และเป็นมัน มีปริมาณออกซิเจนและความชื้นต่ำ แต่มีปริมาณคาร์บอนสูงกว่าถ่านหินชนิดอื่น จุดไฟติดยาก เมื่อติดไฟจะให้เปลวไฟสีน้ำเงินจาง ๆ มีควันน้อย ให้ความร้อนสูง และไม่มีสารอินทรีย์ระเหยออกมาจากการเผาไหม้
เปรียบเทียบพลังงานความร้อนที่ได้จากการเผาถ่านหิน
แกรไฟต์เมื่อเผาไหม้จะให้พลังงาน 32.8 kJ/g แต่การเผาถ่านหินจะให้พลังงานความร้อนเฉลี่ย 30.6 kJ/g แสดงว่าพลังงานความร้อนที่ได้จากการเผาถ่านหินจะขึ้นอยู่กับปริมาณของ คาร์บอนที่เป็นองค์ประกอบในถ่านหิน ดังนั้น การเผาไหม้ถ่านหินแต่ละชนิดที่มีมวลเท่ากันจะให้พลังงานความร้อนแตกต่างกัน ตามปริมาณคาร์บอนที่มีอยู่ในถ่านหินซึ่งมีลำดับจากมากไปหาน้อยดังนี้คือ แอนทราไซต์  บิทูมินัส  ซับบิทูมินัส  ลิกไนต์  และพีต
2. การใช้ประโยชน์ถ่านหิน
ถ่านหินถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีแหล่งสำรองกระจายอยู่ทั่วโลกและปริมาณค่อนข้างมาก การขุดถ่านหินขึ้นมาใช้ประโยชน์ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ถ่านหินราคาถูกกว่าน้ำมัน ถ่านหินส่วนใหญ่จึงถูกนำมาเป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ใช้หม้อน้ำร้อนในกระบวนการผลิต เช่น การผลิตไฟฟ้า การถลุงโลหะ การผลิตปูนซีเมนต์ การบ่มใบยาสูบ และการผลิตอาหาร เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการใช้ประโยชน์ในด้านอื่น เช่น การทำถ่านสังเคราะห์ (Activated Carbon) เพื่อดูดซับกลิ่น การทำคาร์บอนด์ไฟเบอร์ (Carbon Fiber) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความแข็งแกร่งแต่มีน้ำหนักเบา และการแปรสภาพถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเหลว (Coal liquefaction) หรือ เป็นแปรสภาพก๊าซ (Coal Gasification) ซึ่งเป็นการใช้ถ่านหินแบบเชื้อเพลิงสะอาดเพื่อช่วยลดมลภาวะจากการใช้ถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่ง ภายใต้กระบวนการแปรสภาพถ่านหิน จะสามารถแยกเอาก๊าซที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือเป็นพิษ และสารพลอยได้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในถ่านหินนำไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีก เช่น กำมะถันใช้ทำกรดกำมะถันและแร่ยิปซัม แอมโมเนียใช้ทำปุ๋ยเพื่อเกษตรกรรม เถ้าถ่านหินใช้ทำวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
3. แหล่งถ่านหินในประเทศไทย
ประเทศไทยมีแหล่งถ่านหินกระจายอยู่ทั่วทุกภาค มีปริมาณสำรองทั้งสิ้น ประมาณ 2,197 ล้านตัน แหล่งสำคัญอยู่ในภาคเหนือประมาณ 1,803 ล้านตัน หรือร้อยละ 82 ของปริมาณสำรองทั่วประเทศ ส่วนอีก 394 ล้านตัน หรือ ร้อยละ 18 อยู่ภาคใต้ ถ่านหินส่วนใหญ่มีคุณภาพต่ำอยู่ในขั้นลิกไนต์และซับบิทูมินัส มีค่าความร้อนระหว่าง 2,800 - 5,200 กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัม หรือ ถ่านลิกไนต์ 2 - 3.7 ตัน ให้ค่าความร้อนเท่ากับน้ำมันเตา 1 ตัน ลิกไนต์เป็นถ่านหินที่พบมากที่สุดในประเทศไทย ที่แม่เมาะ จ.ลำปาง และ จ.กระบี่ จัดว่าเป็นลิกไนต์ที่คุณภาพแย่ที่สุด พบว่าส่วนใหญ่ มีเถ้าปนอยู่มากแต่มีกำมะถันเพียงเล็กน้อย คาร์บอนคงที่อยู่ระหว่างร้อยละ 41 - 74 ปริมาณความชื้นอยู่ระหว่างร้อยละ 7 - 30 และเถ้าอยู่ระหว่างร้อยละ 2 - 45 โดยน้ำหนัก ในช่วงที่ราคาน้ำมันยังไม่แพงประเทศไทยไม่นิยมใช้ลิกไนต์มากนักแต่ภายหลัง ที่เกิดวิกฤติน้ำมัน จึงได้มีการนำลิกไนต์มาใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นทั้งในด้านการ ผลิตกระแสไฟฟ้าและอุตสาหกรรม แหล่งถ่านหินที่มีการสำรวจพบบางแหล่งได้ทำเหมืองผลิตถ่านหินขึ้นมาใช้ ประโยชน์แล้ว แต่บางแหล่งยังรอการพัฒนาขึ้นมาใช้ประโยชน์ต่อไป

การวางกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วม

ปัญหาน้ำท่วมเป็นปัญหาที่เกิดจากกระแสน้ำตามธรรมชาติ ที่มีปริมาณเยอะมากๆ กระแสน้ำไหลเชี่ยว การจะกั้น หรือเปลี่ยนทิศทางน้ำนั้นต้องคำนวนปริมาณน้ำกับวัสดุที่จะน้ำมากั้นเพื่อ ขวางทางเดินน้ำนั้น ต้องดูทิศทางเพื่อให้น้ำได้ระบายออกไปด้วย เพราะคันกั้นน้ำนั้นไม่สามารถรับแรงดันน้ำในปริมาณที่เพิ่มขึ้น และจำนวนมากๆได้ เพราะคันกั้นน้ำไม่ได้แข็งแรงเหมือนเขื่อน
การทำแนวคั้นกันน้ำท่วมโดยใช้กระสอบทรายอย่างถูกวิธี
แนวกระสอบทรายซึ่งวางก่อเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด ให้่ฐานกว้างกว่าความสูง 3 เท่า และในขั้นสุดท้ายให้วางแผ่นพลาสติกทับโดยไม่ให้ตึงเกินไป แล้ววางกระสอบทรายทับปลายแผ่นพลาสติกทั้ง 2 ด้าน

ในขณะนี้หลายๆ พื้นที่ในประเทศไทยกำลังได้รับผลนกระทบจากภัยธรรมชาตินั้นก็คือภัยน้ำท่วม นั้นเองพี่น้องในหลายๆจังหวัดได้ัรับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากและมีการ สร้างแนวกั้นน้ำจากกระสอบทรายขึ้นมาแต่การสร้างแนวกันน้ำแต่ละครั้งนั้นก็มี การพังทลายลงมาบ้างทำให้กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวและไหลบ่าออกมาจากแนวกั้นน้ำ ที่ชาวบ้านได้สร้างกันไว้อย่างรวดเร็วเราจึงมาดูวิธีกันว่ามีวิธีใดบ้างที่ จะวางกระสอบทรายได้ถูกต้องและป้องกันไม่ไห้คันกั้นน้ำถล่มลงมาได้
ที่มาของกระสอบทรายกันน้ำท่วม

แนะ นำวิธีการวางกระสอบทรายของ มหาวิทยาลัยนอร์ธ ดาโกตา สเตท (North Dakota State University) สหรัฐฯ ซึ่งระบุไว้ว่าการวางกระสอบทรายไม่ถูกวิธีจะทำให้คันกั้นน้ำพังทรายที่มีการ วางลงได้ โดยทรายที่นำมาใส่กระสอบทรายนั้นควรมีครึ่งหนึ่งของขนาดของกระสอบทราย และควรมีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 15-18 กิโลกรัม เพื่อความสะดวกในการขนย้ายนั้นเองครับ
ทำเลในการวางกระสอบทรายกั้นน้ำ

ใน ส่วนทำเลสำหรับวางกระสอบทรายควรจะเป็นทำเลที่ช่วยให้เราวางแนวกั้นได้ระยะ ทางที่สั้นและเตี้ยที่สุด เพือที่จะช่วยประหยัดในเรื่องของการใช้กระสอบทรายได้ และต้องมีการระวังสิ่งกีดขวางที่มีการทำลายคันกั้นน้ำ อีกทั้งอย่าทำแนวกั้นพิงผนังสิ่งก่อสร้าง เพราะจะเกิดแรงจากแนวกระสอบทรายกระทำต่อผนังสิ่งก่อสร้างได้ และควรที่จะทิ้งระยะห่างระหว่างคั้นกั้นน้ำกับสิ่งก่อสร้างโดยประมาณแล้ว 2.5 เมตร เพื่อให้เราสังเกตเห็นการรั่วซึมของคันกั้นน้ำ และยังเป็นพื้นที่ให้เราสามารถวิดน้ำที่รั่วซึมออกมาหรือใช้เพื่อที่จะใช้ทำ กิจกรรมอื่นๆได้

และเนื่องจากการเสียดสีระหว่างกระสอบทรายช่วย ป้องกันการลื่นไถลของคันกั้นน้ำ ดังนั้น เราต้องทำให้เกิดการยึดกันอย่างดีระหว่างพื้นดินและคันกั้นน้ำ ระวังอย่าให้มีการไหลของน้ำใต้แนวคันกั้นน้ำ เคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการลื่นไถล ถ้าคันกั้นน้ำสูงกว่า 1 เมตร ให้ขุดคูตรงแนววางกระสอบทราบเพื่อให้เกิดความมั่นคงระหว่างแนวกระสอบทรายและ พื้นดิน โดยคูดังกล่าวนั้นควรที่จะลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร และมีความกว้างประมาณ 45- 60 เซนติเมตร หรือเป็นความลึกประมาณความหนาของกระสอบทราย 1 กระสอบ และกว้างเท่ากระสอบทราย 2 กระสอบ

ความสูงของแนวกระสอบทรายควรสูงกว่า ระดับน้ำประมาณ 1 ฟุต โดยความกว้างของฐานคันกั้นน้ำนั้นควรมากกว่าความสูงของคันกั้นน้ำ 3 เท่า เช่น คันกั้นน้ำสูง 1 เมตร ฐานควรกว้าง 3 เมตร เป็นต้น ทั้งนี้ จากการคำนวณเมื่อใช้กระสอบทรายที่หนา 10 เซนติเมตร กว้าง 25 เซนติเมตร และยาว 35 เซนติเมตรนั้น ทุกความยาว 30 เซนติเมตรของแนวกั้นจะใช้กระสอบทราย 1 กระสอบ และทุกๆ ความสูงของแนวกั้น 30 เซนติเมตรต้องใช้กระสอบทราย 3 กระสอบ และทุกๆ ความกว้างของแนวกั้น 80 เซนติเมตรต้องใช้กระสอบทราย 3 กระสอบ

หรือใช้สูตรต่อไปนี้เพื่อคำนวณหาจำนวนกระสอบทรายที่ต้องใช้ทุกๆ ความยาว 1 ฟุต (เมื่อวัดความสูงเป็นหน่วยฟุต) ดังนี้
คำนวณหาจำนวนกระสอบทรายที่ต้องใช้ทุกๆ ความยาว 1 ฟุต

จำนวนกระสอบทราย = {(3 x ความสูงคันกั้นน้ำ) + (9 x ความสูงคันกั้นน้ำx ความสูงคันกั้นน้ำ)} / 2

ตัวอย่างเช่น

เมื่อ ใช้กระสอบทรายหนา 10 เซนติเมตร กว้าง 25 เซนติเมตร และยาว 35 เซนติเมตร สร้างคันกั้นน้ำสูง 3 ฟุต (ทุกๆ ความยาว 1 ฟุต ฐานกว้าง 3 ฟุต)
ต้องใช้กระสอบทราย = {(3X3) + (9X3X3)} /2 = 45 กระสอบ
หรือ ตัวอย่างที่ได้คำนวณแล้วทุกความยาวแนวคันกั้นน้ำ 100 ฟุต จะใช้จำนวนกระสอบทราย ดังนี้
คันกั้นน้ำสูง 1 ฟุต ใช้กระสอบทราย 600 กระสอบ
คันกั้นน้ำสูง 2 ฟุต ใช้กระสอบทราย 2,100 กระสอบ
คันกั้นน้ำสูง 3 ฟุต ใช้กระสอบทราย 4,500 กระสอบ
คันกั้นน้ำสูง 4 ฟุต ใช้กระสอบทราย 7,800 กระสอบ


เมื่อ ทราบจำนวนกระสอบทรายที่ต้องใช้แล้วก็มาถึงการวางกระสอบทราย ทั้งนี้ ต้องให้คันกั้นน้ำขนานไปกับทิศทางการไหลของน้ำ และวิธีวางกระสอบทรายคือวางกระสอบทรายทับบริเวณที่ไม่ได้เติมทรายของ อีกกระสอบทรายให้สนิทเป็นแนวเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และให้ปากกระสอบหันในทิศทางตรงข้ามกับกระแสน้ำ แล้วขึ้นไปเดินบนกระสอบทรายในชั้นที่วางเสร็จเพื่อให้แนวกั้นน้ำหนาแน่นและ มั่นคง ส่วนชั้นต่อมาให้วางกระสอบทับรอยต่อของกระสอบชั้นล่างและใหเชั้นล่างเหลือ พื้นที่โผล่ออกมาประมาณครึ่งกระสอบ

หลังจากเรียงกระสอบสอบทรายจนได้ เป็นคันกั้นน้ำแล้ว ให้หาแผ่นพลาสติกมาวางทับแนวกั้นน้ำแล้วใช้กระสอบทรายวางทับที่ปลาย แผ่นพลาสติกทั้งสองด้าน และอย่าให้แผ่นพลาสติกตึงเกินไป เพราะแรงกระแทกของน้ำจะทำลายแนวกั้นได้ นอกจากนี้ยังต้องระวังไม่ให้พลาสติกเป็นรูหรือถูกเจาะจากของมีคมด้วย


วางกระสอบทรายกันน้ำท่วมวางกระสอบ ทรายซ้อนทับแบบสับหว่าง และขุดตรงกลางฐานล่างให้ลึกประมาณความหนา 1 กระสอบ และกว้างประมาณ 2 กระสอบ เพื่อความมั่นคง

วิธีวางกระสอบทรายให้ทับอีกกระสอบในส่วนที่ไม่ได้เติมทราย แล้วให้หันด้านปากกระสอบทรายไปในทิศตรงข้ามการไหลของกระแสน้ำ

ลักษณะการวางกระสอบทรายฐานล่างให้วางสับหว่างกัน
วิธีวางกระสอบทรายชั้นบนทับชั้นล่าง ให้ฐานล่างโผล่ออกมาประมาณครึ่งกระสอบ
เปรียบเทียบสัดส่วนความสูงและความกว้่างของฐานแนวคันกั้นน้ำ

รู้จักน้ำท่วมให้มากขึ้น

การทำความเข้าใจ การให้ความรู้ สื่อทางอินเตอร์เน็ตสามารถกระจายความรู้ได้ดีอีกช่องทางหนึ่ง สำหรับกระแสน้ำท่วมเมืองกรุงในปีนี้ สร้างความแปลกประหลาด สร้างกระแส สร้างความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง การทำความเข้าใจในเรื่องของน้ำท่วม มีการหยิบยกมาพูดคุยกันไม่เว้นแต่ละวัน เพราะอะไรนั้นเหรอ ไม่มีใครคาดคิดถึงเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ ที่สร้างความรุนแรงในพื้นที่ที่น้ำไหลผ่านอย่างมากมาย ภาคอุตสหกรรมมีผลกระทบอย่างหนัก มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนาๆ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นโลกของกลุ่มคนหลากหลาย หลากความคิด หลากหลายสาขาอาชืพ และที่สำคัญมีอิสระทางความคิด และก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถทางด้าน Multimedia ที่สามารถทำความเข้าใจ ผลิตสื่อออกมาที่สามารถสร้างความเข้าใจเรื่องของน้ำท่วมในขณะนี้ได้เป็น อย่างดี ที่มีชื่อว่า "รู้จักน้ำท่วมให้มากขึ้น"
ตอนที่ 1 รู้จักน้ำท่วมให้มากขึ้น เป็นการอธิบายในเรื่องทั่วไปของประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม

ตอนที่ 2 3 คำถามยอดอิต ก็กล่าวถึงข้อมูล และวิธีการรับมือกับน้ำท่วมคร่าวๆ

ตอนที่ 3 เตรียมตัวก่อนน้ำมาถึง

ตอนที่ 4 เตรียมใจสู้พร้อมอยู่กับน้ำ

ตอนที่ 5 ใจเย็นยามอพยพ

ต้องขอขอบคุณ :
กลุ่มอาสาสมัครทำสื่อวิดีโอสร้างสรรค์ เข้าใจง่าย ไม่ชวนให้งงเอ๋อ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และจำเป็นในสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้ เป้าหมายของพวกเรา คือ "คุณต้องรอด! อย่างเข้าใจ"
ที่เรากำลังจะทำ คือวิดีโอ Infographic ให้ข้อมูลที่สำคัญและจำเป็น ที่ประชาชนควรรู้ เผื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสภาวะน้ำท่วมอย่างมีสติและเข้าใจ โดยฟังก์ชั่นงานหลักๆ จะประกอบด้วย
1. รวบรวมคำถาม ที่คนอยากรู้ แต่ยังหาคำตอบไม่ได้ ยังสับสน และเข้าใจผิดอยู่ แล้วนำไปหาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ พร้อม Verify ความถูกต้องของข้อมูลนั้นๆ ผ่านทั้งการสัมภาษณ์ และการค้นหาในอินเตอร์เน็ต
2. เลือกประเด็นมาทำ Script และ Storyboard
3. เนื่องจากเราจะนำเสนอในรูปแบบ Infographic เป็นหลัก เราเลยจะต้องมีคนวาด Ilustrator
4. พอวาดเสร็จ เราจะจับทุกภาพมาขยับเขยิบ กระดุ๊กกระดิ๊ก ด้วยนักทำ Animator
5. ขั้นตอนยังไม่จบเท่านั้น ต้องมีคนเสียงสวยเสียงหล่อ มาช่วยกัน "ลงเสียง"
6. สุดท้ายจบด้วยลง Sound Score / Mix เสียง ก็เป็นอันเรียบร้อย
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เรียนมาจากที่ไหน ขอเพียงมีทักษะในด้านต่างๆ อย่างที่เราว่าไป แต่มีความตั้งใจที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและครบ ถ้วนในฐานะ "สื่อมวลชน" ก็ส่งรายละเอียด ชื่อ, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล, ความสามารถที่คุณมีและช่วยเราได้, วัน/เวลาที่คุณสะดวกมาช่วยกัน มาที่อีเมล roosuflood@gmail.com อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน แล้วทางทีมงานจะติดต่อกลับไปจ้าาา
ต้องขอบคุณสำหรับการสร้างสื่อ ดี ดี แบบนี้ออกมาถ่ายทอดความรู้ยามเกิดความเดือดร้อน เป็นการสร้างความเข้าใจ คนในโลกอินเตอร์เน็ต และถ่ายทอดความเข้าใจนี้ไปยังผู้ที่กำลังประสพภัยได้ สื่อบนอินเตอร์เน็ตอาจจะไม่เข้าถึงผู้ประสพภัยได้ในยาม แต่ก้เป็นส่วนหนึ่งเพื่อคนที่สามารถออนไลน์ได้ สร้างความน่าเชื่อถือในข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ต

ระบบสุริยะ (Solar System)

ความมหัศจรรย์บนโลกใบนี้ ยังมีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่น่าค้นหา การกำเนิดของสิ่งมีชีวิตการดำรงอยู่ เฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้นจริงหรือไม่ แล้วโลกอื่นเค้ามีโทรทัศน์ดูกันใหม มีอินเตอร์เน็ตใช้กันรึเปล่า อาจจะเป็นคำถามที่ใครๆหลายๆคนจินตนาการถึงนอกโลก

ระบบสุริยะ (Solar System) คือระบบที่ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางมีดาวเคราะห์ (Planets) 9 ดวง ดวงจันทร์บริวารของดวงเคราะห์แต่ละดวง (Moon of sattelites) ดาวเคราะห์น้อย (Minor planets) ดาวหาง (Comets) อุกกาบาต (Meteorites) ตลอดจนกลุ่มฝุ่นและก๊าซ ซึ่งเคลื่อนที่อยู่ในวงโคจร ภายใต้อิทธิพลแรงดึงดูด จากดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะไม่จำเป็นต้องมีแห่งเดียว ถ้าที่อื่นมีลักาณะอย่างนี้ก็เรียกว่าระบบสุริยะได้เหมือนกัน แต่ในที่นี้จะหมายถึงระบบสุริยะของเรา ขนาดของระบบสุริยะ กว้างใหญ่ไพศาลมาก เมื่อเทียบระยะทาง ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร หรือ 1 หน่วยดาราศาสตร์

ระบบสุริยะ (Solar System)
กล่าวคือ ระบบสุริยะมีระยะทางไกลไปจนถึงวงโคจรของดาวพลูโต ดาว เคราะห์ที่มีขนาดเล็กที่สุด ในระบบสุริยะ ซึ่งอยู่ไกล เป็นระยะทาง 40 เท่าของ 1 หน่วยดาราศาสตร์ และยังไกลห่างออก ไปอีกจนถึงดงดาวหาง อูร์ต (Oort's Cloud) ซึ่งอาจอยู่ไกลถึง 500,000 เท่า ของระยะทางจากถึงดวงอาทิตย์ด้วย ดวงอาทิตย์มีมวล มากกว่าร้อยละ 99 ของ มวลทั้งหมดในระบบสุริยะ ที่เหลือนอกนั้นจะเป็นมวลของ เทหวัตถุต่างๆ ซึ่ง ประกอบด้วยดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และอุกกาบาต รวมไปถึงฝุ่นและก๊าซ ที่ล่องลอยระหว่าง ดาวเคราะห์ แต่ละดวง โดยมีแรงดึงดูด (Gravity) เป็นแรงควบคุมระบบสุริยะ ให้เทหวัตถุบนฟ้าทั้งหมด เคลื่อนที่เป็นไปตามกฏแรง แรงโน้มถ่วงของนิวตัน ดวงอาทิตย์แพร่พลังงาน ออกมา ด้วยอัตราประมาณ 90,000,000,000,000,000,000,000,000 แคลอรีต่อวินาที เป็นพลังงานที่เกิดจากปฏิกริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ โดยการเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม ซึ่งเป็นแหล่งความร้อนให้กับดาว ดาวเคราะห์ต่างๆ ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์จะเสียไฮโดรเจนไปถึง 4,000,000 ตันต่อวินาทีก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังมี ความเชื่อว่าดวงอาทิตย์จะยังคงแพร่พลังงานออกมา ในอัตรา ที่เท่ากันนี้ได้อีกนานหลายพันล้านปี
ทฤษฎีการกำเนิดของระบบสุริยะทฤษฎีการกำเนิดของระบบสุริยะ
        หลักฐานที่สำคัญของการกำเนิดของระบบสุริยะก็คือ การเรียงตัว และการเคลื่อนที่อย่างเป็นระบบระเบียบของดาว เคราะห์ ดวงจันทร์บริวาร ของดาวเคราะห์ และดาวเคราะห์น้อย ที่แสดงให้เห็นว่าเทหวัตถุ ทั้งมวลบนฟ้า นั้นเป็นของ ระบบสุริยะ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่เทหวัตถุท้องฟ้า หลายพันดวง จะมีระบบ โดยบังเอิญโดยมิได้มีจุดกำเนิด ร่วมกัน
 
Piere Simon Laplace ได้เสนอทฤษฎีจุดกำเนิดของระบบสุริยะ ไว้เมื่อปี ค.ศ.1796 กล่าวว่า ในระบบสุริยะจะ มีมวลของก๊าซรูปร่างเป็นจานแบนๆ ขนาดมหึมาหมุนรอบ ตัวเองอยู่ ในขณะที่หมุนรอบตัวเองนั้นจะเกิดการหดตัวลง เพราะแรงดึงดูดของมวลก๊าซ ซึ่งจะทำให้ อัตราการหมุนรอบตัวเองนั้น จะเกิดการหดตัวลงเพราะแรงดึงดูดของก๊าซ ซึ่งจะทำให้อัตราการ หมุนรอบตังเอง มีความเร็วสูงขึ้นเพื่อรักษาโมเมนตัมเชิงมุม (Angular Momentum) ในที่สุด เมื่อความเร็ว มีอัตราสูงขึ้น จนกระทั่งแรงหนีศูนย์กลางที่ขอบของกลุ่มก๊าซมีมากกว่าแรงดึงดูด ก็จะทำให้เกิดมีวงแหวน ของกลุ่มก๊าซแยก ตัวออกไปจากศุนย์กลางของกลุ่มก๊าซเดิม และเมื่อเกิดการหดตัวอีกก็จะมีวงแหวนของกลุ่มก๊าซเพิ่มขึ้น ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ วงแหวนที่แยกตัวไปจากศูนย์กลางของวงแหวนแต่ละวงจะมีความกว้างไม่เท่ากัน ตรงบริเวณ ที่มีความ หนาแน่นมากที่สุดของวง จะคอยดึงวัตถุทั้งหมดในวงแหวน มารวมกันแล้วกลั่นตัว เป็นดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ของดาว ดาวเคราะห์จะเกิดขึ้นจากการหดตัวของดาวเคราะห์ สำหรับดาวหาง และสะเก็ดดาวนั้น เกิดขึ้นจากเศษหลงเหลือระหว่าง การเกิดของดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ดังนั้น ดวงอาทิตย์ในปัจจุบันก็คือ มวลก๊าซ ดั้งเดิมที่ทำให้เกิดระบบสุริยะขึ้นมานั่นเอง      
 
 
การเกิดระบบสุริยะนอก จากนี้ยังมีอีกหลายทฤษฎีที่มีความเชื่อในการเกิดระบบสุริยะ แต่ในที่สุดก็มีความเห็นคล้ายๆ กับแนวทฤษฎีของ Laplace ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีของ Coral Von Weizsacker นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ซึ่งกล่าวว่า มีวง กลมของกลุ่มก๊าซและฝุ่นละอองหรือเนบิวลา ต้นกำเนิดดวงอาทิตย์ (Solar Nebular) ห้อมล้อมอยู่รอบดวงอาทิตย์ ขณะที่ดวงอาทิตย์เกิดใหม่ๆ และ ละอองสสารในกลุ่มก๊าซ เกิดการกระแทกซึ่งกันและกัน แล้วกลายเป็นกลุ่มก้อนสสาร ขนาดใหญ่ จนกลายเป็น เทหวัตถุแข็ง เกิดขั้นในวงโคจรของดวงอาทิตย์ ซึ่งเราเรียกว่า ดาวเคราะห์ และดวงจันทร์ของ ดาวเคราะห์นั่นเอง
        ระบบสุริยะของเรามีขนาดใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับโลกที่เราอาศัยอยู่ แต่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับกาแล็กซีของเราหรือ กาแล็กซีทางช้างเผือก ระบบสุริยะตั้งอยู่ในบริเวณ วงแขนของกาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way) ซึ่งเปรียบเสมือนวง ล้อยักษ์ที่หมุนอยู่ในอวกาศ โดยระบบสุริยะ จะอยู่ห่างจาก จุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกประมาณ 30,000 ปีแสง ดวงอาทิตย์ จะใช้เวลาประมาณ 225 ล้านปี ในการเคลื่อน ครบรอบจุดศูนย์กลาง ของกาแล็กซี ทางช้างเผือกครบ 1 รอบ นักดาราศาสตร์จึงมี ความเห็นร่วมกันว่า เทหวัตถุทั้ง มวลในระบบสุริยะไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์ทุกดวง ดวงจันทร์ของ ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และอุกกาบาต เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน มีอายุเท่ากันตามทฤษฎีจุดกำเนิดของระบบ สุริยะ และจาการนำ เอาหิน จากดวงจันทร์มา วิเคราะห์การสลายตัว ของสารกัมมันตภาพรังสี ทำให้ทราบว่าดวงจันทร์มี อายุประมาณ 4,600 ล้านปี ในขณะเดียวกัน นักธรณีวิทยาก็ได้คำนวณ หาอายุของหินบนผิวโลก จากการสลายตัว ของอตอม อะตอมยูเรเนียม และสารไอโซโทป ของธาตุตะกั่ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า โลก ดวงจันทร์ อุกกาบาต มีอายุประมาณ 4,600 ล้านปี และอายุของ ระบบสุริยะ นับตั้งแต่เริ่มเกิดจากฝุ่นละอองก๊าซ ในอวกาศ จึงมีอายุไม่เกิน 5000 ล้านปี      

สมาชิกของระบบสุริยะ
ในบรรดาสมาชิกของระบบสุริยะซึ่งประกอบด้วย ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดวงจันทร์ ของดาวเคราะห์ดาวหาง อุกกาบาต สะเก็ดดาว รวมทั้งฝุ่นละองก๊าซ อีกมากมาย นั้นดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ 9 ดวง จะได้รับความสนใจมากที่สุดจากนักดาราศาสตร์ ซึ่งมีข้อมูล รายละเอียดพอสรุปได้ดังนี้
1. ดวงอาทิตย์ (The Sun)
        ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่สำคัญในระบบสุริยะ เป็นดาวฤกษ์ สีเหลือง มีอายุเกือบ 5,000 ล้านปี อยู่ห่าจากโลกของ เราประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาเดินทางมายังโลกเพียง 8.3 นาที หรือ 499 วินาทีเท่านั้น พลังงานจำนวนมหาศาล ในดวงอาทิตย์ได้มา จากการ เปลี่ยนก๊าซไฮโดรเจนเป็น ฮีเลียมที่อุณหภูมิประมาณ 15 ล้านเคลวิน หรือประมาณ 27 ล้านองศาฟาเรนไฮต์
ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่สำคัญในระบบสุริยะ
ดวงอาทิตย์มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่มากกว่าโลกของเรา109 เท่า มีปริมาตร 1,300,000 เท่าของโลกและมีมวล มากกว่าโลกของเรา 333,434 เท่า กาลิเลโอเป็นคนแรก ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง และจากการศึกษา ของนักดาราศาสตร์ทำให้ทราบว่า การหมุนรอบตัวเองของดวงอาทิตย์ในบริเวณเส้นศูนย์สูตรจะมีความเร็วกว่าที่ บริเวณขั้ว เหนือและขั้วใต้ ดังนั้น นักดาราศาสตร์ บางคนจึงมีความเห็นว่ารูปร่างของดวงอาทิตย์ มีลักษณะเป็นทรงรีรูปไข่ทั้งนี้เพราะ เกิดแรงหนีศูนย์กลาง ที่มาจากการหมุน ซึ่งทำให้ดาวเคราะห์บริวารเป็นรูปทรงรีด้วย
บริเวณผิวดวงอาทิตย์ จะมีความสว่าง สามารถมองเห็นได้ เราเรียกว่า บริเวณโฟโตสเฟียร์ (Photosphere) เป็นชันที่มีธาตุที่พบทั้งหมด แต่จะไม่อยู่ในสภาพของแข็ง ซึ่งอาจจะรวมกันเป็นกลุ่มอนุภาคของเหลว ชั้นโฟโตสเฟียร์จะป็นชั้นที่แผ่พลังงานของดวงอาทิตย์สู่อวกาศ เป็นชั้นบางๆ แต่ค่อนข้างทึบแสง มีความหนาประมาณ 400 กิโลเมตร เป็นชั้นที่มีอุณหภูมิแปรเปลี่ยนตั้งแต่ประมาณ 10,000 เคลวิน ที่บริเวณ ส่วนลึกที่สุดจนถึง 6,000 เคลวินที่บริเวณส่วนบนสุด
ถัดจากชั้น โฟโตสเฟียร์ขึ้นมา ประมาณ 19,200 กิโลเมตร จะเป็นชั้นโครโมสเฟียร์ (Chromosphere) ซึ่งเป็นชั้นค่อนข้างโปร่งแสงที่มีความหนาประมาณ 4,800 กิโลเมตร อุณหภูมิของชั้นโครโมสเฟียร์ จะเพิ่มมากขึ้นตามระยะทางที่ห่างออกไปข้างนอก คือจะมีอุณหภูมิตั้งแต่ประมาณ 4,500 เคลวิน จนถึง 1,000,000 เคลวิน ดังนันชั้นบนสุดของ ชั้นโครโมสเฟียร์ จะเป็นชั้นบริเวณที่มีปรากฎการณ์รุนแรงมาก ซึ่งจะมองเห็นแนวโค้ง เป็นสีสุกใสในขณะเกิดสุริยุปราคา เนื่องจากขณะที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงนั้น ชั้นของโฟโตสเฟียร์จะถูกดวงจันทร์บดบังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทำให้มองเห็นชั้นของโครโมสเฟียร์เป็นแนวเว้า มีสีส้ม-แดง อยู่ในบริเวณของดวงจันทร์
ในศตวรรษที่ 19 นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ Angelo Secchi ได้อธิบายถึงชั้นโครโมสเฟียร์ที่ขอบของดวงอาทิตย์ว่า เหมือนทุ่งหญ้ากำลังถูกไฟไหม้ ซึ่งเกิดจากกลุ่มก๊าซ ที่เรียกว่า สปิคุล (Spicules) เป็นลำเล็กๆ พุ่งขึ้นไปข้างบนเป็นแถว ด้วยความเร็วประมาณ 20 - 30 กิโลเมตรต่อวินาที พุ่งตัวสูงประมาณ 8,000 กิโลเมตร และจากการวิจัยด้วยสเปกโตรสโคป พบว่า ลำก๊าซ สปิคุลนี้ มีอุณหภูมิถึง 10,000 เคลวิน ในบริเวณใจกลางของมัน แต่ที่บริเวณผิวจะมีระดับความร้อนสูงกว่าถึง 50,000 เคลวิน ซึ่งละอองก๊าซที่มีความร้อนสูงมากนี้ จะเป็นแหล่งกำเนิดคลื่นอัลตราไวโอเลตของดวงอาทิตย์
ส่วนประกอบชั้นนอกที่เรียกว่า โคโรนา (Corona) คือก๊าซที่ส่องแสงสว่างหุ้มอยู่รอบๆ ดวงอาทิตย์ มีลักษณะปรากฎเป็นแสงเรือง มีรัศมีสีนวลสุกสกาวในขณะที่เกิดสุริยุปราคราเต็มดวง คุณสมบัติที่น่าอัศจรรย์ ของโคโรนาคือ การที่มีอุณหภูมิสูงมากตั้งแต่ 1,500,000 เคลวิน ถึง 2,500,000 เคลวิน การที่โคโรนา มีอุณหภูมิสูงมากเช่นนี้ จะเกิดการระเหยของก๊าซออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีอุณหภูมิประจุไฟฟ้าที่เรียกว่า ลมสุริยะ (Solar wind) แพร่กระจายออกมาข้างนอก แล้วแพร่เข้ามายังบริเวณใกล้เคียง โลกเรา ด้วยความเร็ว 300 - 1,000 กิโลเมตรต่อนาที ดังนั้นในอวกาศระหว่างดาวเคราะห์ จึงเต็มไปด้วยพลาสมา ที่มีความร้อนสูงและมีสภาพที่แตกตัวเป็นอิออน
ลักษณะพื้นผิวของ ดวงอาทิตย์นั้น จะเห็นภาพปรากฎที่เรียกว่า จุดดำบนดวงอาทิตย์ (Sunspots) เป็นบริเวณสีคล้ำบนตัวดวงหรือบนชั้นโฟโตสเฟียร์ โดยมีส่วนกลางดำคล้ำกว่าเรียกว่า เงามืด (Umbra) ส่วนรอบๆมีสีจางกว่าเรียกว่า เงาสลัว (Penumbra) บริเวณจุดบนดวงอาทิตย์นี้ ไม่ได้มืดหรือดับไป ดังที่บางคนเข้าใจ แท้จริงแล้วจุดเหล่านี้ มีความสว่างและมีความร้อนยิ่งกว่าทังสเตนขณะถึงจุดหลอมเหลว ซึ่งบางจุดมีอุณหภูมิสูงถึง 3,800 เคลวิน แต่ที่เห็นว่ามืดเป็นเพียงความรู้สึก ที่เกิดจากแสงสว่างที่จ้ากว่า ของชั้นโฟโตสเฟียร์ ตัดกับจุดนี้ จึงทำให้เรามองเห็นเป็นจุดดำ สำหรับการปรากฎมืดคล้ำ (Darkening of Limb) ลักษณะนี้เป็นสิ่งยืนยันให้เราทราบว่าดวงอาทิตย์มิใช่ของแข็ง แต่เป็นกลุ่มก๊าซ ที่แผ่รังสีออกไป ได้ไม่เท่ากัน
สมาชิกของระบบสุริยะ
2.ดาวเคราะห์ (Planets)
      ดาวเคราะห์ หมายถึง ดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง แต่สะท้อนแสงอาทิตย์ส่องเข้าไปตาเรา ดาวเคราะห์ แต่ละดวง มีขนาดและจำนวนดวงจันทร์บริวารไม่เท่ากัน อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็น ระยะทางต่างกัน และดวง ต่างก็อยู่ในระบบสุริยะ โดยหมุนรอบตัวเองโคจรรอบ ดวงอาทิตย์ด้วย ความเร็วต่างกันไป จากการศึกษา เรื่องราว เกี่ยวกับดาวเคราะห์โดยใช้โลกเป็นหลักในการแบ่ง นักดาราศาสตร์ได้แบ่งดวงดาวออกเป็น 2 ประเภท ตามวงทางโคจรดังนี้ คือ
ดาวเคราะห์วงใน (Interior planets) หมายถึงดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ได้แก่ดาวพุธ และดาวศุกร์
ดาวเคราะห์วงนอก (Superior planets) หมายถึง ดาวเคราะห์ที่อยู่ถัดจากโลกออกไป ได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน และดาวพลูโต
ทั้งนี้ ดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวง ยังสามารถจำแนกออกเป็น 2 จำพวกใหญ่ตามลักษณะพื้นผิวด้วย ดังนี้
ดาวเคราะห์ก้อนหิน
ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร ทั้ง 4 ดวงนี้มีพื้นผิวแข็งเป็นหิน มีชั้นบรรยากาศบางๆ ห่อหุ้ม ยกว้นดาวพุธที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดไม่มีบรรยากาศ
ดาวเคราะห์ก๊าซ ได้แก่ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน จะเป็นก๊าซทั่วทั้งดวง อาจมีแกนหินขนาดเล็ก อยู่ภายใน พื้นผิวจึงเป็นบรรยากาศที่ปกคลุมด้วยก๊าซมีเทน แอมโมเนีย ไฮโดรเจน และฮีเลียม (สำหรับดาวพลูโตนั้นยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นพวกใด เนื่องจากยังอยู่ห่างไกลจากโลกมาก)

บทความ :
เนื้อหาจากตำราดาราศาสตร์
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
เผยแพร่โดย วันวิสาข์  ครองสิน